วันนี้ได้ฤกษ์เปิดบล็อกเป็นวันแรก หลังจากรออยู่หลายวัน 6/10/11 เลขสวยป่ะละ
ขอเริ่มที่มาที่เราได้ไปกับการได้คุยกับพี่เอ๋-นิ้วกลมแบบ(ค่อนข้างจะ)ใกล้ชิดก่อน
เนื่องจากเราได้เป็นผู้ถูกเลือกเข้าโครงการ a-chieve โครงการดีๆที่จัดโดยพี่ๆและผู้ใหญ่ใจดีให้ เด็กมัธยมปลายอย่างเราไปเข้าร่วมทำ Workshop 2 วันเพื่อค้นหาความฝันของตัวเอง ได้คุยกับพี่ๆที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งวิทยากรในโครงการนี้ก็คือ พี่เอ๋-นิ้วกลมนั่นเอง และเราก็ยังจะได้เรียนรู้การทำคลิปและเขียน Journal จากพี่ๆมืออาชีพซึ่งจะเป็นใครนั้น ขอเก็บเอาไว้ก่อน(เพราะเราเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน)
และที่สำคัญ จะได้ติดตาม Shadow หรือการไปตามฝึกงานกับสายงานที่เราเลือกนั่นเอง
ซึ่งเราเลือกตามกอง บก.นิตยสาร คลีโอค่ะ
การฝึกงานนี่เป็นโอกาสที่ยากมากเลยสำหรับเด็กม.ปลาย แต่เมื่อมีโอกาสแล้วเราก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ค่ะ
กิจกรรมวันนี้ในช่วงเช้าเราก็ได้ทำความรู้จัดกับเพื่อนๆที่จะไปตามติดอาชีพต่างๆ มีทั้งแพทย์เฉพาะทาง, acting coach,event organizer,TV producer และอีกมากกว่า 17 อาชีพ เก๋ป่ะล่ะ
หลังจากนั้นเราก็ได้วิทยากรอย่างดีๆ อย่างพี่เอ๋-นิ้วกลมมาพูดคุยกันแบบพื้นๆ คือพื้นจริงๆ เพราะให้พี่เอ๋นั่งกับพื้น55+ ซึ่งวันนี้จุดหมายของการบรรยาย ก็คือเด็กมัธยมปลาย และมีพี่มหาวิทยาลัยประปราย กับลุงจบแล้วอีก 2 คน ดังนั้นเนื้อหาวันนี้จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเราทั้งนั้น
สิ่งที่พี่เอ๋เน้นมากตั้งแต่เริ่มจนจบก็คือ ชีวิตคือการมีจุดหมายและไม่หยุดที่จะตั้งคำถาม เปรียบกับเวลาเราพับนก 2 ตัว ถ้าตัวหนึ่งเราพับไปเรื่อยเพราะว่าง กับพับเพราะตั้งใจจะให้แฟน จุดหมายมันต่างกันมากเลยนะ ก็เหมือนกับการเรียนของเรา ถ้าเราเรียนไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ชีวิตมันก็เข้า pattern ที่ว่า เรียนจบที่ดีๆ เข้าบริษัท เงินเดือนสูงๆ แล้วนั่นเรียกว่าเป็นจุดหมายในชีวิตหรอ?
หลังจากพี่พิธีกรถามว่า ตัวเขาเรียนสายศิลป์-คำนวณ ซึ่งเก่งเหมือนเป็น คือเรียนทุกอย่างแต่ไม่ได้เก่งสักอย่าง พี่มีความเห็นว่ายังไง
พี่เอ๋บอกว่า ชีวิตคนเราก็มีสนามเด็กเล่น
มันไม่ผิดหรอกที่แม้คนอายุ 20-30 ยังคงวิ่งเล่นเพื่อหาเส้นทางชีวิตที่ตัวเองชอบ การที่เราได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง แม้จะเหมือนเป็ดก็ตาม มันจะทำให้เรารู้ว่าเราจะไปเส้นทางไหน ซึ่งพอรู้แล้ว เราก็ดำลึกลงไปเลย เหมือนคนที่เป็นหมอ ถ้ารู้ว่าอยากเป็นหมออะไรก็เจาะลึกเรียนด้านนั้น แต่ถ้ายัง เราก็มีสิทธิ์วิ่งเล่นอยู่ในสนามชีวิต
(คิดถึงวันนั้น ขอบคุณสนามเด็กเล่นของพี่มาก ที่ทำให้หนูติดมหาวิทยาลัย….กราบเลยล่ะ Dec 2012)
คำตอบนี้เราอยากปรบมือดังๆเลยค่ะ เพราะพ่อกับแม่เราก็พูดทุกวัน เน้น ทุกวัน ว่าเราเก่งเหมือนเป็ด คือเราทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่เก่งสักอย่าง อยากให้ท่านได้มาฟังจัง ^_^
มากันที่คำถามต่อไปที่ถามว่า พี่ว่า การมีจุดมุ่งหมายแล้วเราต้องการไปให้ถึง มันไม่ใช่การสร้างกรอบชีวิตให้ตัวเองจนเราไม่มีอิสระหรอ? คือคำถามรอบนี้มีแต่โดนๆ ค่ะ และเราก็สงสัยมานานแล้ว
พี่นิ้วกลมให้คำตอบมาว่า ชีวิตตอนวัยเด็ก เราจะรู้สึกว่าทุกอย่างดูแข็งทื่อไปหมด แต่เมื่อเราโตขึ้น เราจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น คนที่จะประสบความสำเร็จคือคนที่เอาหลายๆอย่างมารวมกันแล้วเกิดเป็นสิ่งใหม่ๆ
อย่างเช่น น้องที่อยากเป็น แพทย์เฉพาะทาง อาจเป็นคนชอบเล่นเปียโน แล้วเอาเปียโนมาบำบัดคนไข้ก็ได้ เรียกว่าเราต้องข้ามความคิดเดิมๆออกไป เพราะวิทย์และศิลป์เป็นสิ่งเดียวกัน และอยู่ภายใต้จักรวาลเดียวกัน คนเก่งวิทย์ก็อาจเก่งศิลป์ด้วยได้ (และคนไม่เก่งวิทย์ก็อาจไม่เก่งศิลป์ด้วยก็ได้-เราเอง T_TTTTT)
แต่ถามว่าต้องมีจุดหมายไหม คำตอบคือ ต้องมี พี่เอ๋ยกตัวอย่างว่า ถ้าพี่ไม่มีจุดหมาย วันนี้พี่ตื่นมาก็คงงง ไม่รู้ว่าต้องขับรถมาที่นี่ แต่เมื่อมีจุดหมายแล้วคือการมาที่นี่(ที่บรรยาย) เราก็ต้องหาเส้นทาง อย่างวันนี้จะขึ้นทางด่วนนะ ต้องเลี้ยวสี่แยกนี้ ซึ่งการเลือกเลี้ยวมาเส้นนี้ ก็อาจทำให้เราพลาดสิ่งดีๆ จากเส้นทางอื่นก็ได้ ดังนั้น มันไม่ผิดที่เวลาเราเจอสี่แยก เราจะเลือกเลี้ยวไปทางอื่น เพราะชีวิตของเราเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นอย่างที่บอกเอาไว้ตอนต้น เรามีสิทธิ์ที่จะวิ่งเล่น จนกว่าจะเจอทางที่ใช่
มาถึงคำถามสุดท้ายของ entry นี้ พี่เอ๋บอกว่าให้เราถามตัวเองว่า ทำไมตลอดเวลา แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่การศึกษาไทยไม่อำนวย ซึ่งเราใช้เวลากว่า 1/4 ของการบรรยายนินทาการศึกษาไทย เพราะทุกคนเป็นเด็ก ม.ปลาย-มหาวิทยาลัยกัน เลยดูเหมือนจะเป็นแหล่งที่จะพูดเรื่องแบบนี้ได้
อย่างโปรเจกต์นี้ ชื่อของมันคือ โตแล้วไปไหน
พี่เอ๋บอกว่า เด็กไทยส่วนมากตอบคำถามนี้ได้ เพราะการศึกษาไทยสอนให้เด็กรู้ว่าโตแล้วไปไหน(เข้าจุฬา, ทำงานบริษัทใหญ่ๆ) แต่สิ่งที่การศึกษาไทยไม่มี คือการถามต่อว่า แล้วจะไปทำไม
ดังนั้น วันนี้เราต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า จะเป็นทำไม
ซึ่งคำตอบของเพื่อนๆในกิจกรรม ก็เก๋กันไปคนละแบบตามสไตล์แต่ละคน เราจะมาเล่าต่อใน entry หน้า เพราะวันนี้หมดแรงแล้วค่ะ
ใน entry หน้า เราจะพบกับ
-ความล้มเหลวที่พี่นิ้วกลมประสบมา (เมื่อมีคนกล้าถาม พี่เขาก็กล้าตอบ)
-คำตอบของเพื่อนๆ จากคำถามข้างต้นว่า “ทำไม”
-ถ้าพ่อแม่ไม่อยากให้เรียนสายนิเทศ เพราะคิดว่าเป็นงานที่ไม่มั่นคงและอยากให้เราเข้าทำงานในที่ที่มั่นคง อย่างรับราชการ เราจะตอบยังไงดี (เป็นคำตอบของเพื่อนที่ cool สุดๆ)
และ คำตอบของพี่นิ้วกลมจากคำถามที่ว่า “พี่เอ๋ พี่โตแล้วไปไหนคะ”
วันนี้เป็นกิจกรรมดีๆ ที่ทำให้วันนี้เป็นวันดีๆ วันหนึ่งในชีวิตเราเลย การได้ฟังพี่เอ๋ เหมือนได้จุดไฟแห่งความฝันขึ้นมาอีกครั้ง เราเลยอยากเอามาแบ่งปันเพื่อนๆ จะำได้มีไฟ+ฝันไปด้วยกัน อันนี้เป็นการทำบล็อกครั้งแรกของเราเลยนะคะ แต่ลุ้นอยู่ว่าจะมีคนอ่านไหม ที่สำคัญคือ คนอ่านชอบกันรึปล่าว ขอ feedback ด้วยนะคะ จะได้ใช้ปรับปรุงต่อไป ชมได้ ตำหนิได้ ขอแค่อย่าเงียบ55+
ครั้งที่เราพูดถึงเป็นการ Shadow ครั้งที่ 2 ซึ่งตอนวันนี้เลย ก็เป็นวันที่น้องๆ รุ่น 3 กำลังไป(ฝึก) ทำงานกันอยู่
สนุกมากค่ะ