สัมภาษณ์ พี่เอ๋-สุพิชชา บก CLEO by Parfait

อันนี้เป็น ส่วนหนึ่งในโครงการ www.a-chieve.org ที่จะทำเป็นห้องสมุดอาชีพ ซึ่งเราจะเป็นคนรับผิดชอบในส่วนนี้ กับเพื่อนๆอีก 2-3 คน

ซึ่งเราได้เอาคำสัมภาษณ์ ที่เราสัมภาษณ์เอง เน้น ว่าสัมภาษณ์เอง หากใครจะคัดลอกไปทำอะไร ก็ให้เครดิตเราและพี่เอ๋-สุพิชชา ด้วยนะคะ (จริงๆไม่ใช่แค่บทสัมภาษณ์ แต่ทั้งหมดของ Blog นี้แหละ) เพราะเมื่อวาน เพื่อนเราที่เป็นนักเขียน เพิ่งถูกลอกนิยาย อะไรก็ไม่รู้ น่ากลัวววว

เราเอาบทสัมภาษณ์นี้ มาให้ลองอ่านๆ กันดู แนวคำถามคือสิ่งที่จะทำห้งอสมุดอาชีพ ถ้าใครคิดว่าควรมีอะไรเพิ่มเติม เสนอกันเข้ามาเลยนะ

เราจะได้มีห้องสมุดอาชีพดีๆ ให้เด็กๆ ม.ปลายได้เรียนรู้กัน

บทสัมภาษณ์ พี่เอ๋-สุพิชชา บก. Cleo by parfait

บรรณาธิการ คือ

ผู้นำทัพในการการสร้างนิตยสารเล่มหนึ่ง ให้กับผู้อ่านกลุ่มใหญ่ๆกลุ่มหนึ่ง ให้มีความสุขขึ้น มีแรงบันดาลใจ มีชีวิตที่ดีขึ้น มีเพื่อนหรือพี่สาวที่คอยนำทางทีเขายากจะรู้แต่ไม่รู้จะถามใคร

บก ก็คือ ผู้นำในการใช้ชีวิตให้กับผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง

ที่มาของคลีโอ

เป็นนิตยสารจากเมืองนอก คลีโอต่างประเทศก็จะเป็นเพื่อน-พี่สาว เมื่อเอามาเมืองไทยก็ปรับให้เข้ากับคนไทย

จำเป็นต้องเป๊ะตามแบบฟอร์มของเขาไหม

อันนี้ขึ้นอยู่กับความสามรถของบก.เลย พี่จะมีให้เลือก 2 ทาง คือ ตามเขาเป๊ะ หรือกฎมีไว้แหกตลอด ถ้าจะตามก็คือสิ่งที่เป็นพื้นฐานของเขา เช่น เราไม่มีหน้าสังคมเพราะคนอ่านไมได้อยากรู้ อย่างบทสัมภาษณ์ เราจะไม่ได้ยาว 4-5 หน้า เมืองนิตยสารเล่มอื่น บทความของเราก็เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาอย่างมาก ไม่ใช่แค่พาไปกิน พาไปเที่ยว

แต่อย่างอื่นก็ต้องเปลี่ยนหมด เช่นเมื่อก่อนเขาให้ใช้นางแบบสิงคโปร์ที่คนไทยไม่รู้จัก  พี่ก็ต้องเถียงกับหัวหน้าโดยใช้ความรู้ที่เรารู้จักผู้อ่านดี ตรงนี้ ต้องใช้ความกล้าของบรรณาธิการที่จะกล้ายันกับเขาว่าจะไม่ใช้เพราะอะไร และทำให้เขาเห็น และคลีโอไทยแลนด์จะเป็นอะไรที่ไม่เหมือนของประเทศอื่น ทีแรก เราขายได้อันดับ 8 ของประเทศ พอเวลาผ่านไป 1 ปีที่เราใช้ความตั้งใจทำงาน ก็ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แซงคลีโอมาเลเซีย สิงคโปร์ เขาก็เห็นเลยว่าสิ่งที่เราทำมันได้ผล

 

อะไรทำให้เปลี่ยนจากสายจากรัฐศาสตร์(ที่พี่เอ๋จบ) มาเป็นสายวารสาร

พี่ก็เคยเข้าไปในสำนักงาน แต่รู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับพี่ เพราะพี่ชอบงานครีเอทีฟมากกว่า

ทำไมถึงมาสมัครงานตำแหน่งบรรณาธิการ

ตอนนั้นก็เข้ามาไม่ได้คิดอะไรเลย พี่นึกว่าเขารับสมัครนักเขียน ตอนนั้นก็มีตัวแม่บรรณาธิการหลายคน แต่นายพี่ก็บอกว่าแค่มองพี่ก็รู้แล้วว่า พี่คือบรรณาธิการ และพี่ดูมีความสุขกับการทำงาน พี่บอกเขาไปว่า “ม่มีใครเหมาะกับงานนี้เท่ากับฉันอีกแล้ว” และพี่ก็ทำแบบนั้นจริงๆ

ตอนนั้นไม่เคยทำงานหนังสือมาก่อน กล้าตัดสินใจได้ไง

ตอนนั้นพี่ก็ใสๆ ไม่ได้รับข้อมูลอะไรมาก ก็เลยไม่กลัว มันคือความใส ความว่าง ความสด และด้วยนิสัยของพี่ที่เป็นคนมั่นใจในตัวเอง รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรก็เลือกเลย และด้วย Deadline ของงานนิตยสารโหดมาก เราเลยต้องใช้การตัดสินใจแบบ ทำเลย

อีกอย่างหนึ่งพี่จะยึดว่า ถ้าพี่ชอบ จะต้องมีผู้หญิงอีก 100 คนที่ชอบ

บก.หนังสือ VS นิตยสาร ความต่างคือ…

บก.นิตยสาร มีรายละเอียดเยอะมาก ต้องเป็นคนที่ทำงานหลายๆอย่างเก่งๆ เพราะบางที เราเขียนบทความ หลังจากนั้นก็ออกไปทำอย่างอื่น ต้องเป็นคนที่หัวว่างๆเก่ง คนที่เครียดๆ นอยด์ๆ จะทำงานนิตยสารไม่ได้ อย่างการสัมภาษณ์คนก็เป็นอีกทักษะหนึ่งที่น่าสนใจมาก เพราะเราต้องไปเหมือนเราก็คือผ้าขาว ไม่ใช่ตีกรอบคนที่จะสัมภาษณ์ไว้แล้ว

บรรณาธิการข่าว VS นักข่าว ความต่างคือ

นักข่าวต้องออกไปทำนอกสถานที่ตลอด แต่บรรณาธิการอาจไม่จำเป็นลุย แค่คอยดู edit งาน เป็นงานด้านการจัดการมากกว่า

Contributor คือ

นักเขียน หรือช่างภาพฟรีแลนซ์ อาจเป็นดาราก็ได้

พี่เอ๋ชอบบทความไหน

ชอบทำ real life ของคนธรรมดา แต่ให้แรงบันดาลใจเรา ชีวิตเขาแย่แต่ไม่เคยคร่ำครวญเลย

ไอเดียเคยหมดไหม?

ครีเอทีฟ ไอเดีย ไม่เคยหมดเลย อยู่ที่ว่าจะมีแรงทำหรือเปล่าค่ะ

ทำงานเป็นทีมแบบนี้ เกิดปัญหาบ้างไหม?

เกิดแน่นอนเพราเหมือนเพื่อนที่ไม่เคยรู้จักกันมาอยู่ร่วมกัน เราก็ต้องรวมสปิริตกันให้ได้ เพื่อสร้างสิ่งเดียวกัน จบเหมือนกัน อนาคตเดียวกัน และแต่ละคนนิสัยต่างกัน ชอบไม่เหมือนกัน อย่างนักเขียนบางคนชอบทำงานกลางคืน พี่ว่าแค่นี้ก็มีปัญหาแล้วนะ

ใกล้ Deadline แล้ว แต่ต้นฉบับยังไม่เสร็จเลย ทำไงดี?

พี่ก็รวมทีมเลย ถาม บรรณาธิการศิลป์กับรองบรรณาธิการก่อน ว่าไหวไหม ถ้าไหวก็รวมใจทำเลย อยู่ดึกก็ดึก

สำหรับงานบรรณาธิการ อะไรคือพรสวรรค์ อะไรคือการฝึกฝน?

พรสวรรค์พี่ว่าคือ ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ เช่น ตุ้มหู 1 คู่ไปทำอะไรได้บ้าง นอกจากใส่ และพรสวรรค์ที่จะมองเห็นนิสัยในตัวคน เช่นผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา เรารู้เลยว่าเขาดูเศร้า เราก็อาจเข้าคุย แล้วเราก็อาจได้เรื่องดีๆจากเขา

ส่วนสิ่งที่ต้องฝึกฝน พี่คิดว่าต้องอ่านหนังสือ อ่านนิตยสารมากๆ ฝึกวินัยให้ตัวเอง ฝึกนอกกรอบ เพราะงานนี้ต้องใช้ความอิสระทางความคิด แต่อย่าลืมว่าเรามี Deadline เราต้องเป็นตัวของตัวเองและมีวินัย

แล้วถ้าพ่อแม่ไม่ยอมล่ะ?

เราต้องอย่ายอม เพราะพ่อแม่ไม่มีทางรู้จักเรา ถ้าเรายอมเมื่อไหร่ เราจะเสียจุดยืนทันที แต่อย่าลืมเข้าใจว่าทั้งหมดเกิดจากความหวังดีต่อเรา เขาถึงอยากให้เราทำงานดีดูดี มั่นคง มีประโยชน์ แต่ถ้าเรายอมทำตามเขา แล้วเราไม่มีความสุขกับเรียนเลย ตอนสุดท้ายเราก็จะไม่ทำงานเกี่ยวกับสายที่เรียนมาเลย อย่างถ้าเรารู้ว่าเราเรียนสายนี้ได้ดี เราก็จะทำประโยชน์ได้มากกว่า

การแข่งขันในสายงานบรรณาธิการสูงไหม?

บรรณาธิการตัวท็อปในประเทศมีน้อยมาก แต่ถ้าได้เป็นก็ยาวเลย แต่ถ้าจะมาทำงานเป็นนักเขียน ในนิตยสาร พี่ว่าไม่ยากเพราะเวลาที่พี่อ่านประวัติก็มีเพียง 1-2 คนเองที่มี ความปรารถนา Passion จริงๆ ชอบมีคนหลายๆ คนมาถามพี่ว่าอยากเป้น stylist พี่ก็จะบอกกลับไปทุกคน ว่าให้ส่ง portfolio เข้ามา เชื่อไหมว่าแถบไม่มีใครส่งเข้ามาเลย

แล้วอีกอย่างก็คือ กัดอย่าปล่อย อย่ายอม อย่าเป็นเด็กที่ถูก Spoil เพราะเขาจะไม่พยายามพัฒนาตัวเอง

เวลามีคนมาสมัครงาน พี่เอ๋ดูอะไรบ้าง?

พี่จะดู attitude จากคำถามของพี่ ความมีน้ำใจ เห็นอกเห็นใจ เพราะสิ่งนี้จะทำให้หนังสืออบอุ่น เพราะเราอย่าลืมว่าคนที่มาอ่านหนังสือส่วนมากเป็นคนที่มีปัญหา เขาต้องการคำแนะนำ ส่วนเรื่องความเก่ง ความฉลาดฝึกไม่ยาก เพราะพี่เองก็ไม่เคยเป็นบรรณาธิการยังกันได้เลย

แล้วอย่างนี้ GPA สำคัญไหม?

มันแสดงถึงความมีวินัย ว่าเขามาทำงานจะสามารถรับผิดชอบ โครงการใหญ่ๆได้ แต่ถ้ามีคนได้ GPA 2.5-2.6 แต่มีน้ำใจ และดูจริงใจ ไม่เห็นแก่ตัว และทำงานเป็นทีมได้ พี่เลือกคนนี้นะ เพราะงานนิตยสาร เราต้องทำเป็นทีม

ชื่อมหาวิทยาลัย สำคัญไหม?

สำคัญนะ เมื่อก่อนพี่ก็คิดว่าไม่ อย่างน้องจุฬา พี่ให้ทำอะไรเขาทำได้หมด ช่วยงานพี่ได้เยอะ อาจเป็นเพราะระบบงานที่เขาถูกฝึกมาด้วย แต่น้องจากบางที่ทำอะไรไม่เป็นเลย

อาจารย์โหดไม่ตีกรอบความคิดของเราหรือ?

เราต้องรักษาความเป็นตัวเองได้ อย่าลืมว่าถึงเขาโหดแต่เขาก็ไม่มีทางเปลี่ยนหัวใจเราได้

เรียนอะไรดีเพื่อมาทำงานสายนี้?

เรียนอะไรก็ได้ที่ได้เห็นโลกกว้างๆ ได้วิเคราะห์ หาความสัมพันธ์ เรียนวิศวะคงไม่ใช่ เช่น อย่างน้ำท่วม เราก็ต้องได้คิดว่าทำไมน้ำถึงท่วม วิเคราะห์ภูมิประเทศ

ฝากสำหรับน้องๆ ที่อยากมาทำงานสายบรรณาธิการ

เป็นเรื่องดีที่น้องๆ มีความฝัน พี่อยากให้เราออกไปเปิดโลกของตัวเอง ไปเที่ยวเพื่อไปศึกษากับสิ่งที่เราสงสัย และการไปเที่ยว(ไม่ใช่เก็บแต้ม) จะมาเป็นภูมิคุ้มกันให้เราเอง

Advertisement

Comments are closed.

Create a website or blog at WordPress.com

Up ↑

%d bloggers like this: