สมัครเรียนมหาวิทยาลัยใน อเมริกา ต้องใช้อะไรบ้าง

สิ่งที่เราจะ List ต่อไปนี้  คือสิ่งที่อยู่ส่วนใหญ่ เน้น ว่าส่วนใหญ่มักอยู่ใน requirement แต่ก็ไม่ใช่ทุก U (university)

ถ้าเป็น U ที่ต่ำๆ หน่อยเนี่ย เขาก็จะ require น้อย อาจเป็นแค่  Toefl หรือไม่ต้องการอะไรเลยก็มี ถ้าสูงขึ้นก็ SATI ถ้าเป็น พวก Ivies หรือระดับ Top10-20 เนี่ย ก็อาจมี SATII เพิ่มขึ้นมาด้วย

(เฉพาะระดับปริญญาตรี่ก่อนนะคะ )

1. GPA อันนี้สำคัญมาก ตั้งใจเรียนในห้องกันให้ดีๆ นะเด็กๆ แต่ถ้าไม่ดี แก้ไขไม่ทัน ก็ต้องทำพวกคะแนนสอบ อย่าง Toefl SAT ให้ดี มันจะพอช่วยดึงกันได้บ้าง แต่ไม่ใช่ว่าได้เกรด 1.00 แต่ได้ SAT สูงมากกกก จะเข้า U top 10 เราว่าเขาก็ไม่รับค่ะ

เพราะ GPA คือสัญลักษณ์ของความตั้งใจเรียน

ถ้าเป็น ไอวี่ เกรดควรได้ 3.75 ขึ้น ไม่ควรต่ำกว่า 3.5 เด็ดขาด

วิธีการแบ่งของเขาคือ

  • 3.75-4.00
  • 3.5-3.75 และก็แบ่งยังงี้ลงมาเรื่อยๆ ก็คือว่า ถ้าได้ 3.95 กับ 4 ก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ แต่ถ้า 3.72 กับ 3.77 อันนี้ค่อนข้างอยู่คนละกรุ๊ป

(เราไม่ชัวร์เท่าไหร่ แต่ว่าทำเกรดให้ได้สูงๆก็ดีที่สุด ยิ่งถ้าเป็นโรงเรียนในไทย เขายิ่งไม่ค่อยรู้จัก เขาไม่รู้ว่าโรงเรียนนี้กดเกรดหรือไม่กด เราก็ต้องพยายามทำให้สูงที่สุด…..ความจริงอันโหดร้าย)

ใบทรานสคริป อาจต้องใช้ของ ม.ต้นด้วยนะ แล้วเวลาส่ง ส่งไปพร้อมกับ letter of recomedation ของครูที่ปรึกษาค่ะ

2.คะแนนสอบ Toefl SAT1 SATII ACT AP IB อะไรก็แล้วแต่ ถ้ามีก็ส่งๆ ไปเหอะ หลายๆ คน คงยังไง ว่าพวกนี้บางตัวมันคืออะไร

– Toefl เราว่าก็คงรู้จักกันแล้วเนอะ คะแนนก็จะเป็นช่วงๆ ถ้าเป็น Top 30 ส่วนมากรับที่ Toefl IBT 100 ถ้าลงมาหน่อยก็ 79-83 และลงมาอีกก็ 61 แล้วแต่ Uni และบางทีก็อยู่ที่คณะของเราด้วย อย่างเช่น Syracuse ถ้าเข้าคณะ Education จะเอาแค่ 80 แต่ถ้าเข้า Public communication (นิเทศ+วารสาร) เอาตั้ง 100 แน่ะ

SATI หรือ Stupid american test (บ้า ล้อเล่น) เป็น test ที่เราจำชื่อเต็มไม่ได้ แต่ว่า ใช้เข้าอินเตอร์ประเทศไทยเหมือนกัน มหาวิทยาลัย บางแห่งก็เอา แค่ math กับ critical reading แต่บางที่ก็เอา writing ด้วย

อ่านดีๆ ว่า include หรือ ว่า exclude writing part

SATII หรือ SAT subject test มี 10 วิชา เช่น ชีวะ เคมี ฟิสิกส์ เลขง่าย  เลขยาก วรรณคดี ประวัติศาสตร์ ภาษาก็จะมี เกาหลี ญี่ปุ่น อาหรับ เยอร์ สเปน ฝรั่งเศส จีน แต่ไม่มี ไทย T^TTT

-ACT ใช้แทนกันได้กับ SATI บางคนบอกว่า ACT ง่ายกว่า SAT เพราะทริคไม่เยอะเท่าคุณ SATI แต่บาง U ก็ไม่รับค่ะ แต่ส่วนมาก เขาก็รับนะ ซึ่งเราก็สามารถเลือก test ที่คะแนนดีส่งไปได้ ว่าจะเอา ACT หรือว่า SATI

ACT จะแบ่งออกเป็น 5 ส่วน

1.reading comprehension คือ passage มหากาพย์แห่งความยาวมาก แต่เป็นเรื่องทั่วๆไป ไม่ใช่ ประวัติศาสตร์ ศิลปะ ยุคพระเจ้าอย่าง SAT

2.math จะยากกว่า SAT นิสนึง ตรงที่มี ตรีโกณแบบง่ายๆด้วย แต่เด็กไทยทำได้ เชื่อเหอะ

3.science ไม่ต้องท่องอะตอมอะไรทั้งนั้น แค่ดูตารางง่ายๆ เป็น ก็ได้แล้ว เขาฝึกให้วิเคราะห์ข้อมูลอ่ะค่ะ

4.English อันนี้จะเป็น grammarค่ะ มีให้แก้อะไรแบบนี้ ไม่ยากเท่าไหร่ แต่อาจตาลายได้ เพราะมันยาวๆ งงๆ

  1. writing คล้ายๆ กับ SAT ที่เป็น Essay ค่ะ แต่ต่างกันตรงที่ว่า SAT คำถามมันจะแบบ ปรัชญามาก ประมาณว่า ความซื่อสัตย์คือสิ่งที่จำเป็นที่สุด คุณเห็นด้วยหรือไม่ แต่คำถามของ ACT จะเป็นเรื่องรอบตัว ที่เจาะลึกลงไป ….คะแนน ทุก part คือ 0-36 เอา ทุก part รวมกัน แล้วหาค่าเฉลี่ย นั่นแหละ คะแนน ACT แต่เราจำไม่ได้ว่า writing ให้คะแนนยังไง พอดีไม่ได้สอบ test นี้

-AP หรือ Advance placement รร.ไทยไม่มีสอนค่ะ เป็น วิชามหาวิทยาลัยหากสอบได้คะแนนสูงๆ ก็อาจได้ เครดิตของมหาวิทยาลัยเลย แล้วยังแสดงถึงความสนใจในสาขานั้นด้วย

ตัวอย่าง AP เช่น ประวัติศาสตร์ยุโรป เศรษฐศาสตร์จุลภาค-มหภาค เคมี ชีวะโมเลกุล ประมาณนี้ ค่ะ สมัครได้ที่ collegeboard สำนักเดียวกับ SAT

คะแนนเป็นต่ำสุดคือ 0 หรือ 1 (ไม่แน่ใจ) สูงสุด คือ 5 ค่ะ เราไม่แน่ใจว่ามีช้อยด้วยรึปล่าว แต่ส่วนมากน่าจะเป็นเขียนนะ

อันสุดท้าย IB อันนี้เราขอโทษ เราไม่รู้ ขี้เกียจหาด้วย เพราะยังไงก็ไม่ได้ใช้

3.สิ่งสำคัญต่อไปก็คือ application form ค่ะ กรอกรายละเอียดชีวิตเราลงไป อย่างเคยเรียนที่ไหน พ่อแม่ชื่ออะไร เขียนชื่อให้ ตรงกับ passport ด้วยเน้อออ ตรงนี้เราแนะให้นิดนึง ว่าเวลามีถาม race หรือเชื้อชาติ บรรพบุรุษ ให้กรอกไปว่า Thai ถึงใครจะมีเชื้อจีน แนะว่าอย่ากรอก เพราะไม่งั้นเราอาจโดนเอาไปเปรียบกับคนจีน ซึ่งแบบ เก่งเกินบรรยาย

อีกอย่างคนจีนก็ไปเรียนเยอะ จึงถือว่าค่อนข้าง high competitive

ต่จริงๆ ก็ไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก ……. 

4.Essay อีก 1 หัวใจของการสมัคร เพราะเป็นสิ่งที่บอกถึงตัวตนของเราได้มากที่สุด แนะนำให้เขียนเองค่ะ อย่าไปให้คนอื่นเขียน เพราะถ้าเขาจับได้ขึ้นมา มันจะยุ่ง อาจถึงขั้นไล่ออกเลยนะ เพราะ ที่ เมกา เรื่องนี้ สำคัญมาก

และ อย่าแถ คืออะไรที่ทำจริง ก็เขียนลงไป ถ้าไม่ได้ทำ ก็ไม่ต้องพยายามลากมาเขียน มันไม่ work และมันจะกลายเป็น หายนะ ค่ะ เพราะ คนที่เขาคัดเลือกเด็กเนี่ย เขาผ่านมาเยอะค่ะ รู้ทันทีว่า คนนี้เขียนเอง ให้คนอื่นเขียน หรือว่าส่งนิยาย ชีวิตมาให้อ่าน

อีกอย่างหนึ่ง คือใช้ภาษาปกติ ไม่ต้องหาศัพย์อลังการ ตามทีท่องสอบ SAT มาใช้กัน เพราะคนธรรมดาเขาไม่พูดกัน SAT กับ GRE แล้วก็มหากาพย์ วรรณกรรม เท่านั้นแหละที่ใช้

ใช้ภาษาง่ายๆ คนอ่านจะรู้สึกสบายๆ แต่ก็อย่าใช้แบบ เด็กอนุบาล I love cat. I live in a big house ทั้ง essay ล่ะ มันก็ดูแย่เหมือนกัน ซึ่งคำถามแต่ละปี มันก็วนเวียนซ้ำๆ อย่างนั้นแหละ ยิ่งใน common app เนี่ย คำถามเดิมมาหลายปีแล้วไม่เคยเปลี่ยน(เดี๋ยวมาเล่านะ ว่า common app คือ??)

5. recommendation ส่วนมากก็ 2 ฉบับ จาก ที่ปรึกษา 1 ฉบับ แล้วก็ครูอีก 1 บางที่ก็ขอของครูเพิ่งอีก 1 คน หรือบางทีก็ขอ Recom แค่ฉบับเดียวเท่านั้น ก็เลือกครูที่เราร๊ากกก ให้เขียนให้ แค่นั้นแหละ ไม่มีอะไรมาก แบบ ฟอร์ม เขามีให้อยู่ แต่ครูก็ต้องเขียนเป็น คล้าย essay อีก 1-2 แผ่นด้วย

บางที่ก็ไม่เอา Recom นะ อย่าง UC ไม่เอา Recom เอาแค่ essay อย่างเดียว บอกว่าจะสามารถดูเด็กได้ผ่านทาง essay เลย …. ซึ่งตรงนี้ ครูไทยใจดี หลายคนอาจให้เราไปร่างหรือเขียนมาให้เลย หรือไม่ก็เขียนเสร็จเอามาให้เราดูว่าจะต้องปรับปรุงตรงไหน

แต่อย่าลืมว่าในจดหมาย Recom แบบฟอร์มจะมีถามว่าให้เลือกว่าจะ Waive right to access.. หมายถึง จะไม่อ่านสิ่งที่ครูเขียน อันนี้เราต้องขีดช่อง Yes นะคะ ห้ามเลือก No เด็ดขาด เพราะ Admission Office อาจไม่อ่านของเราเลยยยย

6.certificate of finance 

อันนี้ไม่มีคนพูดถึง แต่สำคัญมากกกกกกก สำหรับคนที่ไปเอง ไม่ได้ทุน คือเขากลัวพวกโรบินฮู้ด ไง อย่าเป็นโรบินฮูดเลย เราขอร้อง มันทำให้ชื่อเสียงคนไทยดูแย่อ่ะ แล้วใช่ว่าไปกลับมาจะได้เงินเยอะ

มันไม่เหมือนภาพฝันที่หลายคนวาดไว้หรอกนะ ไปทำงาน ได้เงินเก็บ เพราะค่าแรงสูง เอ่อ มันค่าแรงสูงก็จริง ชม.ละ ประมาณ 10 เหรียญ หรือ 300 บาท แต่แค่ค่าอาหาร ค่านู่น ค่านี่ ป่วยทีนี่ โดดลงทะเลไปเลยดีกว่า เพราะค่าพยาบาลแพงมากกกก

มาต่อกันดีกว่า หลักฐานการเงินเนี่ย ส่งแค่ของว่าเรามีเงินพอจะจ่ายปีแรกเท่านั้น ก็ดูว่าค่าเทอมปีแรกเท่าไหร่ ส่วนมากก็ประมาณ 45000 เหรียญ ถึง 60000 เหรียญ แล้วแต่ U

7. สัมภาษณ์ แล้วแต่ U ค่ะ ส่วนมากเป็นพวก คุณ Top 10-20 แต่พวกหลังๆก็ไม่สัมภาษณ์ ศึกษา U ดีๆ ละกัน

—อย่าลืมส่งเงินค่าสมัครด้วย ถ้าลืมส่งนี่ จบกัน ราคาแตกต่างต่าง U ตั้งแต่ 50-80 เหรียญ แล้วแต่ Uni ค่ะ เขาจะเริ่มอ่านใบสมัครเราก็ต่อเมื่อ เราส่งเงินค่ะ

Advertisement

6 thoughts on “สมัครเรียนมหาวิทยาลัยใน อเมริกา ต้องใช้อะไรบ้าง

  1. สวัสดีค่ะ กำลังเตรียมเอกสารแนบไปกับ application ต้องยื่นภายในอาทิตย์นี้ จะรบกวนแนะนำด้วยค่ะ เพราะบางรายการน่าจะเป็นเอกสารของคนอเมริกัน ซึ่งบ้านเราไม่มี อยากทราบว่าต้องเตรียมตัวไหนบ้างคะ

    Student’s and parent’s SSN or SIN numbers, if applicable

    2016 federal income tax return(s)

    W-2 forms and other records of money earned in 2016 and 2017

    Records of untaxed income and benefits for 2016 and 2017

    Current bank statements … ให้ธนาคารออกหนังสือรับรองใช่ไหมคะ

    Current mortgage information

    Records of savings, stocks, bonds, trusts and other investments

    The student’s noncustodial parent’s email address, if applicable … หมายถึงอีเมล์คนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่หรือคะ

    ขอบคุณมากค่ะ

    1. ทั้งหมดใช้แค่จดหมายรับรองจากธนาคารค่ะ

      ส่วนถ้าอีเมลล์ อายุเกิน 18 ไม่ต้องกรอกค่ะ

  2. พี่ค่ะ คือหนูสงสัยเรื่อง recommendation อะค่ะคือตอนที่เราจะสมัครเราต้องส่งอีเมลไปเชิญอ.เข้ามากรอกใน common app หรือเปล่าคะ เราปริ้นแบบฟอร์มไปให้เขียนเป็นจดหมายไม่ได้ใช่ไหมคะ หนูพยายามหาแบบฟอร์มปริ้นแล้วแต่ก็หาไม่เจอเลย

    1. ได้ทั้งสองแบบค่ะ ใน common app มีแบบฟอร์มค่ะ ลองหาดีๆ นะคะ มันจะอยู่รวมกับแบบฟอร์มอื่นๆ เช่นใบสมัคร ให้ download ได้ค่ะ

  3. พี่parfaitค่ะ คือหนูอยากจะถามว้่าค่าใช้จ่ายในการเรียนเมกาของพี่ตกเดือนล่ะหรือปีล่ะเท่าไรอ่ะค่ะ

Comments are closed.

Create a website or blog at WordPress.com

Up ↑

%d bloggers like this: