มีน้องคนนึงมาถามใน Page ว่าอยากให้แนะนำวิธีการทำให้เก่งภาษาอังกฤษ
เราก็จัดไปตามสัญญา
เราเองก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษมากมายอะไร
พยายามรวบรวมเทคนิกจากตัวเองและเพื่อนๆ ที่เห็นว่าได้ผลมาแชร์เท่านั้นนะ ^_^
เริ่มแรก คำว่า “อยากเก่งอังกฤษ” ตีความได้กว้างและเยอะมาก
(เป็นสาเหตุให้โพสนี้จะยาว)
ฉะนั้นขอแบ่งเป็น 2 ตอนนะคะ
เราว่าระดับความรู้และเข้าใจภาษาอังกฤษน่าจะแบ่งออกกว้างๆ ได้ 3 ระดับคือ
1. General English
เข้าใจพื้นฐานภาษาอังกฤษ ความรู้นี้น่าจะระดับเด็ก ม.6 ให้ทำข้อสอบได้คะแนนดีๆ และเราจะพูดถึงในโพสนี้
- Academic English
สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อทำอย่างอื่นได้ เช่นเรียนวิชาอื่นๆ ด้วยภาษาอังกฤษ การพรีเซ้นต์งานเป็นภาษาอังกฤษ -
เทพฯ
คงเป็นเหมือนคนไทยที่เก่งภาษาไทยมากๆ แต่เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษแทน ต้องเวลาฝึกฝนนานหน่อย
ซึ่งการแบ่งนี้ เราแบ่งเอง ระดับที่ 2-3 เราจะพูดกันในโพสถัดไป
ฉะนั้นเรามาเริ่มกันดีกว่าว่า เราจะทำยังไงให้เข้าใจภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐาน
โดยคำจำกัดความพื้นฐานของเรา น่าจะหมายถึง
สามารถฟังสนทนารู้เรือง (หนัง ซีรีย์) อ่านความรู้ประมาณหนังสือพิมพ์ได้ ทำโอเนต ทำแกทได้คะแนนดีๆ ประมาณนี้นะคะ
ครูสมศรี (คิดว่าทุกคนรู้จัก) เคยบอกว่า การที่เราจะเก่งภาษาอังกฤษมีโครงสร้างแค่ 3 อย่างเองคือ
- คำศัพท์
- หลักไวทยากรณ์
- การออกเสียง
เราคิดว่า ทุกคนคงมีพื้นฐาน ABC กันแล้วใช่ไหมคะ
แต่จริงๆ อักษร ABC ไม่ได้ออกเสียงว่า เอ บี ซี
(เหมือนภาษาไทยไง ที่เราไม่ได้ออกเสียง ก. ว่า ไก่ แต่เสียงตัวนี้คือ กอ)
เช่นตัวเอ เสียงจริงของมันคือ แอะ และตัวบี คือ เบอะ เป็นต้น
ที่นี้ เราก็เหลือแต่หลักไวทยากรณ์กับคำศัพท์ ทำไงดีล่ะ??
จริงๆ เราก็เป็นคนพื้นฐานอังกฤษไม่ค่อยดี เพราะเรียน รร.รัฐมาตลอด (เกี่ยวป่ะ เราว่าเกี่ยว…)
ก็ยอมรับแต่โดยดีว่าที่ได้ดีขึ้นก็เพราะเรียนพิเศษ
ตอนนั้นคือฮึด อยากได้อังกฤษเกรด 4 ที่โรงเรียนก็เลยลงเรียน
(หลังจากได้ 3 วิชาภาษาอังกฤษแล้วมันน่าหงุดหงิด)
<< แต่หลังจากอังกฤษได้ 4 เยอรมันก็ได้ 3 แทน TT
คอร์สที่ลงก็คือ Grammar ล้วนๆ
ข้อดีคือเขาจะสอนหมดตั้งแต่พื้นฐานอย่าง Tense มีกี่อย่างไปจนถึงเรื่องยากๆขึ้น
ทำให้เราเรียนได้อย่างเป็นระบบ ครบทุกอย่าง ไม่ต้องเรียนเป็นเรื่องๆ แบบในโรงเรียน
ที่พอเทอมหน้า ขึ้นเรื่องใหม่ก็ลืมของเก่าไปแล้ว TT
สำหรับ Vocab เราก็เคยเรียน ตอนนั้นเช้าเรียนแกรมม่า บ่ายเรียน Vocab เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่
เป็นอะไรที่โหดเหมือนกัน ตอนนั้นจำได้ว่าเรียนแต่อังกฤษอย่างเดียวซึ่งก็ไม่ได้ผลทันตา
แค่รู้สึกว่าเราอ่านหนังสือรู้เรื่องมากขึ้น จากที่เมื่อก่อนอ่านอะไรที่เป็นภาษาอังกฤษแทบไม่ออกเลย
(สอบเข้ามาม.ปลายได้ไงเนี่ย 55+)
แต่ถ้ามีเวลาจำกัด แนะนำให้เน้นไปทาง Vocab มากกว่าด้วยซ้ำ
เพราะถึงเรารู้แกรมม่า เข้าใจกฎหมด แต่ไม่รู้คำศัพท์ สุดท้ายเราก็ทำไม่ได้อยู่ดีนะ
แต่การเรียนพิเศษคอร์ส Vocab จะดีตรงที่ว่า นอกจากเขาจะสอนคำศัพท์ใหม่ๆให้เรา
เขายังมีเทคนิก อาจมีร้องเป็นเพลง มีสอนรากศัพท์บ้าง
ซึ่งเทคนิกนี้ เราก็เอาไว้ใช้จำศัพท์ได้เยอะ ให้เราจำ Synonym ซึ่งมันจะช่วยได้มาก
สำหรับคนที่อยากพัฒนาภาษาอังกฤษให้ได้มากๆ ภายในเวลาจำกัด
แต่ไม่ว่าจะเรียนอะไร ดีและแพงแค่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ต้องกลับไปทวนและจำให้ได้
บางคนอาจเถียงว่าการเรียนภาษาไม่ใช่การท่องจำ
จริง ถ้าเรามีเวลามากพอที่จะอ่านบ่อยๆ ทวนบ่อยๆ เพราะการที่อะไรอย่างใดอย่างหนึ่งจะเข้าไปอยู่ในหัวเราได้แบบอัตโนมัติ เขาบอกว่าเราต้องเจอมันซ้ำๆ อย่างต่ำประมาณ 10 ครั้ง
(แต่ถ้าจะให้ติดเข้าไปในสมองส่วนลึก เป็นนิสัยเคยอ่านเจอว่าเราต้องทำซ้ำๆ ถึง 21 ครั้ง)
(ยกเว้นเรื่องที่เราให้ความใส่ใจมากๆ อย่างเช่นประวัติดารา55+)
และแค่จำเปล่าๆ ไม่พอ เราต้องทำให้มันเข้าไปอยู่ในรากลึกของสมองให้ได้ ไม่งั้นพรุ่งนี้ก็ลืม
(เทคนิกง่ายๆก็คือ ทวนบ่อยๆ)
หลังจากนั้นก็พยายามทำแบบฝึกหัดเยอะๆ ข้อสอบเก่าอังกฤษ แกรมม่า Error อ่าน Passage
ทำจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
คำศัพท็ส่วนไหนไม่ได้ก็หาความหมายและจำซะ
การเรียนภาษาตามทฤษฎีเขาว่ากันว่า ต้องใช้ความเคยชิน ต้องไปอยู่ในประเทศนั้น….
แต่ถ้าเราไปอยู่ประเทศนั้นไม่ได้ ก็ต้องพยายามจำ หรืออาจปรับบรรยากาศรอบตัวให้เป็นภาษาอังกฤษ ทั้งหนังสือที่อ่าน ทีวีที่ฟัง
การดูซีรีย์ ดูหนัง เกมส์โชว์ ก็จะช่วยให้การฟังของเราดีขึ้น รวมถึงการพูดด้วย
ช่วงไหนฟังเยอะ จะพูดอังกฤษเก่งขึ้น แม้ปัญหาจะอยู่ที่ไม่มีคนพูดด้วย
(แนะนำให้พูดกับตัวเอง พูดไปเหอะ…ใครหาว่าบ้าก็อย่าได้แคร์)
จะทำให้เราชินปากขึ้นมาก หรือถ้าคุณพ่อคุณแม่ของใครพอพูดภาษาอังกฤษได้ ก็ลองพูดกับท่านดู
ถึงเราพูดไป แล้วท่านตอบกลับมาเป็นภาษาไทยก็อย่าย่อท้อ จงพูดต่อไป!!
เพราะจริงๆ เราต้องหาคนพูดด้วยนี่แหละสำคัญ
ที่โรงเรียนก็มีกลุ่มหนึ่งเหมือนพวกเขาจะพูดกันในกลุ่มเป็นภาษาอังกฤษ
แม้เพื่อนจะมองแปลก แต่เขาเก่งอังกฤษกันมากเลยก็เลยอยากแนะนำต่อ ถ้าใครจะทำอ่ะนะ …..
ส่วนกลุ่มเราหรอ ก็ภาษาไทยสิ
หรืออีกวิธีนึงที่ได้ผลก็คือ หาแฟน….วิธีนี้เห็นใช้กันบ่อยและได้ผลด้วย
การดูซีรีย์ แนะนำมากกตรงที่
- ไม่น่าเบื่อ เท่าอ่าน Text
-
เราจะได้ประโยคสนทนาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
เพราะบทสนทนาที่ทำในข้อสอบกับในซีรีย์ เป็นคนละเรื่องเดียวกัน
จะว่าคล้ายก็นิดนึง แต่ไม่ได้เป็นแบบฟอร์มชนิดที่ว่า
How are you
I’m fine thank you (and you?)
ที่สำคัญคือเราจะได้เรื่องสำเนียงและืำทำนองการพูดแบบฝรั่ง
(ทำให้เราพูดคล้าย Native มากขึ้นนั่นเอง)
ซึ่งจริงๆ จะเป็นอัตโนมัติเลยสำหรับเราเด็กๆ (ถ้าคนอ่านยังเด็กอยู่….)
เวลาเราฟังสำเนียงไหนมากๆ เสียงเราจะไปโทนนั้นมากๆ
มีอยู่ช่วงหนึ่งเราเรียนภาษาเกาหลีจากคนเกาหลีด้วยภาษาอังกฤษ
สำเนียงภาษาอังกฤษก็เลยเป็นเหมือนคนเกาหลีพูดจนน่าตกใจ
ต้องรีบไปเปิดซีรีย์เมกามาฟัง เสียงตัวเองจะได้เปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนเดิม…
และอีกสิ่งหนึ่งที่เราได้จากซีรีย์ก็คือการคิด และวัฒนธรรมของเขา
คำบางคำเป็นแสลง บางคำแปลกๆ เราก็จะรู้ได้ผ่าน Series นี่แหละ
โดยเฉพาะคนที่จะไปเที่ยว/แลกเปลี่ยน/ทำงาน/เรียน/ไปอยู่เลย
การเข้าใจวัฒนธรรมของเขาคือสิ่งที่สำคัญมากกกก
** แต่การดูซีรีย์ไม่ต้องมีซับนะ บางคนอาจบ่นว่า หนูยังไม่่ค่อยเข้าใจภาษาอังกฤษเลย
แต่เชื่อเราว่าให้ดูแบบไม่มีซับจะดีที่สุด เพราะถ้ามีซับ สายตาเราจะมองลงต่ำเพื่อมาอ่าน เป็นอัตโนมัติ
เว็บที่แนะนำก็ http://www.free-tv-video-online.me/
หาเรื่องที่ตัวเองชอบ ชอบเรื่องอะไร มาแชร์กันได้นะ เราชอบ Pretty little liar , lying game
ส่วน Gossip girl ก็เป็นเรื่องแรกที่ดู…ดูจนเบื่อ จนเลิกดูแล้วก็กลับมาชอบอีก
โดยเฉพาะตอนอวสาร (เผื่อใครยังไม่รู้ GG จบแล้วนะ)
(แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ติดตามพวกซีรีย์แล้วนะคะ จะติด Reality show มากกว่าอย่าง
Survivor/The voice/Master chef/Hell kitchen/The Amazing race etc.
อีกทักษะหนึ่งที่จำเป็นมากๆก็คือ การอ่าน
การอ่านก็ให้เลือกตามระดับความรู้ของเรา อาจให้ยากขึ้นอีกนิด
เพื่อความท้าทาย แต่อย่าอ่านยากเกินไปไม่งั้นจะรู้สึกเบื่อ และอยากเขวี้ยงหนังสือทิ้ง……
ซึ่งหนังสือที่แนะนำ ถ้าเด็กๆหน่อย ก็พวก สำนักพิมพ์เพนกวินที่เป็นเล่มบางๆ แบ่งเป็น Level
สำนักพิมพ์อื่นก็มี เห็นมีขายอยู่ชั้น 2 ศูนย์หนังสือจุฬาฯ และ คิโนะ เล่มนึงก็ไม่แพงมาก
แต่ถ้าไม่อยากซื้อก็ไปยืนอ่านเอาก็ได้
หรือถ้าใครชอบพวกวรรณกรรมเยาวชน ก็อยากแนะนำหนังสือของ สำนักพิมพ์ดวงกมล เป็น Worldwide
ที่เล่มละ 90-100 กว่าบาท ถ้าเล่มสีขาวๆนวลๆ จะอ่านง่ายหน่อย เราก็เลือกซื้อตามเรื่องที่เราชอบ
(แต่ตัวเราเองไม่ได้อ่าน เพราะไม่ชอบหนังสือเด็ก….คืออ่านหนังสือเด็กไม่รู้เรื่อง)
ส่วนหนังสือพิมพ์ที่ไม่ยากมากและอยากแนะนำก็คือ The nation, Bangkok Post, Times
ไม่ยากมาก เป็นเรื่องรอบตัวก็เลยไม่ค่อยน่าเบื่อ
หรือถ้ายากท้าทายตัวเอง อ่านในเรื่องที่ยากขึ้น ลึกขึ้น คำศัพท์หรูขึ้นก็ The Economist
<< เป็นหนึ่งในหลายอย่างที่ช่วยให้ได้ SAT ภาษาอังกฤษสูงขึ้น พัก วอนฮีก็อ่านนะ
หรือถ้าชอบนิตยสารก็ลองหาเล่มที่ตัวเองชอบมาดู
นิตยสารที่เราอ่านหลักๆ ก็ Seventeen, Girlfriend, Mind
ใครไม่อยากซื้อก็ไปอ่านได้ที่ TK นะ เพราะเราก็ไม่ซื้อ….มันแพงเกินไป
เราว่าเทคนิค หรือว่าวิธี แล้วแต่จะเรียกก็มีแค่นี้แหละ อยากบอกว่า
ภาษาเป็นเรื่องของการฝึกฝน ต่อให้รู้มากแค่ไหน ไม่ทวน/ไม่ได้ใช้ ก็ลืมได้ง่ายๆ
แต่ที่สำคัญคือเราต้องมีจุดหมายที่ชัดเจนว่าเราอยากเก่ง/เรียน/รู้ ภาษานั้นไปเพื่ออะไร
ถ้าจุดหมายไม่มั่นคงพอ….ก็ยากนะ
โพสหน้า มาว่ากันถึง Academic English นะ
ใช่เลยเราว่ามันจริงมาก
เก่งแกรมม่า-เราเรียนพิเศษ รรรัฐบาลสอนวนไปวนมา ไม่จัดเรียงให้ดี
เก่งการพูด-ต้องกล้าแสดงออก กล้าพูด เราพูดกับฝรั่งที่เดินทางท่องเที่ยว ถามว่าเป็นไงบ้าง เคยมาไหม หน้าด้านล้วนๆ
เก่งการฟัง-ดูซีรี่ยยยย์ แต่เราคนละแนวกับพี่เพรฟ เราชอบsupernatural : heroes, Vampire diaries, true blood, lost, prison break สนุกมากกกกกกกกก 5555
เก่งการอ่าน- ก็ต้องอ่านอะ แรกๆก็เริ่มจากอ่านอะไรก็ได้สั้นๆ แล้วก็ค่อยมาเป็นนิยายเล่ม50หน้า สุดท้ายก็นิยายแนวที่ชอบ เลือกเล่มที่คิดว่าอ่านแล้วติด ไม่เข้าใจก็ต้องกระเสือกกระสนทำให้อ่านให้จบ ก็คนมันอยากรู้ว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อไป
เก่งการเขียน-อันนี้กำลังพยายามอยู่ ยังไงก็ต้องฝึกฝน ด้านนี้ยากจริงๆ ยังทำไม่ได้เหมือนกัน TT
ฟัง พูด อ่าน เขียน เขียนมันอยู่ท้ายสุด เลยยากสุด สู้ไปด้วยกันนะ ♥♥
ขอยืนยันเรื่องการดูซีรี่
เพราะเราเรียนยุ่น เราดูแต่อนิเมะ
จนตอนนี้ส่วนมากไม่ค่อยดูซับแล้ว เหมือนมีเซ้นว่ามันต้องพูดแบบนี้ ๆๆๆ
55555 เป็นการเรียนที่ไม่น่าเบื่อดี
เห็นด้วยนะที่ว่าการเรียน รร รัฐมีผล orz เพราะตอนอนุบาลเรียนเอกชนแล้วเขาก็สอนอังกฤษได้ดีเลยล่ะ แต่พอไปเรียน รร รัฐตอนประถม กว่าจะได้เรียนเรื่องที่เรียนตอนอนุบาลก็ไปเรียนอีกทีตอนปอห้า =[]=
ตอนจบปอหก ยังไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่าง she her hers herself ได้เลยค่ะ รู้สึกว่า…ตอนนั้นเข้าขั้นวิกฤตมาก แต่ก็ไม่คิดอะไร ด้วยความโชคดีนิดๆ เพราะได้เรียน MEP จะโชคดีกว่านี้ถ้าเรียนเป็น EP T T เลยทำให้รู้อะไรมากขึ้น แต่ทักษะต่างๆ ก็ยังด้อยอยู่ดี แกรมม่ากาก พูดไม่ค่อยได้ ฟังไม่รู้เรื่อง
แต่คิดว่าถ้าชอบ เดี๋ยวมันก็ต้องดีขึ้นแหละ สำหรับเรา ถ้าชอบดูซีรี่ส์ให้ได้ซักครึ่งของดูอนิเม คงดีกว่านี้ขึ้นเยอะเลยล่ะมั้ง 555555555555
ไว้รอตอนต่อไปนะคะ!
จริง ตอนจบม.6 เราเองก็รู้อยู่แค่ 2 Tense คือ present sim กะ present con.
ตอนนี้ เราเรียนญี่ปุ่นอยู่ก็อยากดูอนิเมบ้างไรบ้างจะได้ฟังเรื่องที่คนอื่นพูดรู้เรื่อง 55+
ความจริงถ้าอ่อนแกรมม่าเราว่าแก้ไม่ยากนะ ลองลงเรียนสักคอร์สดู แต่จริงๆ หลังจากเรียนหลายภาษาเลยรู้ว่า ศัพท์ต้องมาก่อน คือต่อให้แกรมม่าเป๊ะ แต่ศัพท์ไม่ได้ก็จบ
สู้กันต่อไป สักวัน เราคงเก่งอังกฤษด้วยกัน 55+
รอบทหน้านะคะ ^__^ ตอนนี้กำลังไว้อาลัยให้กับทักษะการเขียนมากๆค่ะ T^T
ดูหนังนี่เค้ายืนยันว่าได้จริง
เมื่อก่อนดูการ์ตูนญี่ปุ่น ต้องอ่านซับ
แต่พอดูเยอะ ๆ จู่ ๆ ก็ตรัสรู้ได้เองว่าตัวละครมันพูดอะไรกัน
55555
ขอบคุณมากเลย ค่ะ
ช่วยให้เป็น กำลังใจมาก
สำหรับตัวเรา นิ อังกฤษโคม่ามากด้วย
ท้อใจจัง T^T
Fighting!! สู้ไปด้วยกันนะ ^_^