จากที่พี่ Bluezy* มาเม้นต์ไว้
ว่าถ้าเรายังไม่แน่ใจกับสิ่งที่เลือก อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคิดก็คือ เราทนกับความกดดันของสังคมได้รึปล่าว(ต่อไปนี้ เราไม่ได้แบ่งแยกนะ แต่พูดตามที่เราเห็น เราเจอล้วนๆ เป็นความคิดส่วนตัว)
อย่างเช่นสังคมเรา คนที่เรียนสายศิลป์ ก็ถูกมองว่า ไม่เก่ง เรียนวิทย์ไม่ได้ ทำให้หลายคนที่ชอบทางด้านภาษา ต้องยอมทนเรียนวิทย์ไป เพราะไม่อาจทนกับสิ่งนี้ที่สังคมมอบให้
ตอนเลือกสาย แม่เราก็ถามเลย ว่า แล้วเธอจะยอมรับสิ่งที่สังคมจะต้องดูถูกกดดันเธอได้ไหม
เราก็ตอบไปว่าได้
แต่ว่าพอมาจริงๆ ก็จะรู้เลย ว่าคนภายนอก มองคนที่เรียนสายศิลป์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยิ่งศิลป์ภาษาจะยิ่งแบบ อืมมมม พอคนเห็นเราใส่ชุดนักเรียนก็จะถามว่า อยู่สายอะไร…….พอบอกสายไปทุกคนจะสีหน้าหายตื่นเต้นทันที
ซึ่งเราอันนี้เป็นสิ่งที่คนจะเรียนสายภาษาต้องรับให้ได้ คือต้องรับให้ได้จริงๆ นะ TT
แต่เราก็ตั้งใจเรียน ผลออกมาก็ค่อนข้าง โอเคเลย มาแย่เอาปีนี้แหละ 55+ แต่ช่างมันเหอะ พอดีปีนี้เราทำเรื่องอื่นๆ เยอะเกิน แต่ถามว่ากลับไปอีกจะเลือกสายภาษาไหม ก็ตอบว่าเลือกนะ เพราะให้ไปเรียนวิทย์ก็ไม่ใช่แนว เลขก็ไม่ชอบ แต่อาจเปลี่ยนภาษาเพราะไม่ได้ชอบภาษาที่เลือก (คือมัวแต่คิดไงว่าจะเลือกศิลป์ภาษาดีไหม จนลืมคิดถึงภาษาที่เลือก….อาเมน)
หรืออย่างคณะ บางคนไม่อยากเป็นครู ก็มาเลือกคณะครุเพราะคะแนนต่ำ (หยุด อย่าเพิ่งว่าเรานะ เดี๋ยวจะอธิบายต่อ) เรียนก็เรียนไปงั้นๆ ดูสิ คนจบครุ ม.ดังๆ หลายคนจบมาแล้วหลายคนก็ไม่เป็นครู ไปทำงานอื่นๆ ซึ่งทำให้หลายคนที่อยากเป็นครูไม่ได้เข้ามาเรียน เพราะคะแนนไม่ถึง
มันคือสิ่งที่เรียกว่า วัฏจักรค่ะ ถ้าเราอยากเริ่มที่จะเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยนที่ตัวเราก่อนนะ
(ไม่ได้ว่าครุนะ เรานับถือมากคนที่เรียนเพราะรัก จบออกมาเป็นครูที่ดี คือคนที่น่ายกย่องที่สุดละ )
เพราะคุณค่าของคนไม่ได้อยู่ที่เราอยู่รอดบนโลกได้อย่างไร แต่อยู่ที่เราทำอะไรให้โลกได้บ้าง
“เราสร้างตัวด้วยสิ่งที่เรารับ แต่เราสร้างชีวิตด้วยการให้”
เดี๋ยวว่างๆ จะอัพแนะแนวให้สำหรับใครที่อยากเรียนสายภาษา รอต่อคิวก่อนนะ พักนี้มีเรื่องอัพเยอะมาก
อืม เขียนได้ดี เมื่อก่อนเราก็เรียนสายวิทย์
แต่ย้ายมาสายภาษาตอนมหาลัย
ก็โดนคนที่บ้านว่ายับเหมือนกัน คนที่บ้านบอกว่าสายภาษามันหางานยากกว่าสายวิทย์
แต่เราว่าตอนนี้มันไม่ใช่แล้วล่ะ ใครมีภาษา คนนั้นงานรุ่น (เราคิดว่างั้นนะ เหอะๆ)