สิ่งหนึ่งที่ต้องทำใจเมื่อเรียนสายศิลป์

Adobe Spark (12)

สายศิลป์ที่ว่าไม่ได้หมายถึงแค่สายวิทย์สายศิลป์ สมัยม.ปลาย แต่ยังเหมารวมไปถึงคนที่เรียนสายศิลปะและคนเรียนสายนิเทศอย่างเรา (อักษรคงไม่โดนมั้ง)

คือที่มาของโพสนี้มันมีอยู่ว่า

วันนี้เราไปหาหมอมา ก็มีหมออีกคนก็รู้จักกันนั่นแหละ ก็เข้ามาถามทำนองว่าเมื่อไหร่จะไปเมกา แล้วจะเรียนสาขาอะไร << คำถามนี้เคยถามไปแล้วเมื่อเดือนก่อนด้วย เอาง่ายๆ ครั้งที่แล้วยังพูดไม่พอ

คือเราก็ตอบไปว่า “Communication” เขาก็ตอบกลับมาประมาณว่า “เลือกเรียน(สาขาที่) ง่ายจัง” คือเราก็เฉยๆ ไง เคยได้ยินมา(โคตร) บ่อย ประโยคแบบนี้

จากนั้น ก็เดินมาแล้วก็บอกว่ายาวๆ ว่า “นี่จะสอนอะไรให้อย่าง อย่าเถียงนะ ชีวิตเราจะเลือกลำบากตอนนี้แล้วสบายวันหน้า หรือสบายตอนนี้แล้วลำบากวันหน้า แม่อ่ะ ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไปหรอกนะ”

คือที่เขาพูดมามันก็ไม่ผิดหรอกนะ แต่ว่ามันเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะเรียนตรงไหน (วะ) แล้วสาขาไหนที่ว่าลำบาก หมอ? จบไปเห็นก็ลำบากอยู่ดี (เหนื่อยด้วย) สาขาเราลำบาก จบไปเงินเดือนน้อย? คือถ้าเราจะมองว่าอะไรมันลำบาก มันก็ดูลำบากไปหมดนั่นแหละ

แต่กลับกัน ถ้าเราเรียนหมอเพราะรัก เรียนก็โคตรมีความสุข จบไปถึงทำงานเหนื่อยก็มีความสุขมาก ที่ได้รักษาคน

คือจริงๆ เราก็ไม่ได้โกรธหรอกนะ แล้วก็ไม่ใช่คนที่จะแบบใช้คำพูดแบบนี้เป็นแรงผลักดันด้วย ความรู้สึกเดียวคือโคตรน่ารำคาญ อย่าให้เจออีกแล้วกัน กล่อมลูกเขาไปคนเดียวเหอะ

(เหมือนเขียนโพสนี้เพื่อบ่น ก็จริง ตอนแรกกะจะโพสในเพจ แต่ท่าจะยาว มาเขียนเป็นโพสดีกว่า)

ก็นี่แหละคือ สิ่งที่ต้องทำใจสำหรับคนอยากเรียนสายศิลป์ อยากเรียนพวก อาร์ตๆ เราเองก็เจอมาตั้งแต่ ม.ปลายละ อุ๊ย เลือกเรียนง่ายจัง (ภาษาเยอรมันง่ายมาก……ประชด) สิ่งที่จะบอกก็คือ อย่าไปใส่ใจแล้วก็แบบฟังหูไว้หู แล้วกองไว้ตรงนั้น จะได้ไม่หงุดหงิด (หรือไม่ก็เก็บเอามาเขียนบล็อก ใครเคยเจออะไรเม้นท์ได้นะ เราเจอมา 3 ปีครึ่งละ ตอนนี้ชินจนจะด้านอยู่ละ 55+)

สำหรับเรา เราเชื่อว่า เราเรียนเพราะเรารัก เรามุ่งมั่นกับมัน ดีกว่าเราเลือกเรียนคณะเพราะคะแนนสูง(หรือคะแนนถึง) รวมถึงเรียนไปตามกระแส คณะที่คนเขาฮิตกัน

ที่นี้ มีเรื่องเล่า เหมือนเป็นนิทานยามบ่ายพร้อมข้อคิดสอนใจ เรื่องมันมีอยู่ว่า

คือถ้าในบรรดาคณะสายศิลป์ๆ ทั้งหลาย ถ้าในไทย เราก็(เหมือน) จะเชื่อว่า คณะที่ดีที่สุดก็คืออักษรใช่ไหมคะ อาจเพราะเป็นคณะที่คะแนนสูงสุด เป็นสาวอักษรดูดีที่สุด แต่ถ้าที่เมกา ก็น่าจะอยู่ในสาขา พวก language & literature major หรือเอกอื่นเช่นปรัชญาหรือประวัติศาสตร์ อยากบอกว่าเป็นเอกที่เข้าง่ายมากๆ

คือเมกา อย่างที่รู้ๆกันว่าเราสามารถเปลี่ยนวิชาเอกได้ตอนเข้ามหาวิทยาลัยไปแล้ว แต่การจะเปลี่ยนก็ขึ้นกับเกรดและการแข่งขันกับคนอื่นๆด้วยนะ เพราะที่เขาก็มีจำกัด เนี่ยแหละคือสิ่งที่อยากบอก ส่วนถ้าเป็น Communication >> Journalism เกือบทุกมหาวิทยาลัยจะถือเป็นเอกที่แข่งขันสูงมาก (ถึงจะจบมาเงินเดือนน้อยแถมเหนื่อยก็เหอะ)

ส่วนวิชาที่คนแย่งกันเรียนมากก็จะเป็นทาง Bussiness ค่ะ ทุกอย่างเลยทั้งบัญชี บริหาร ไฟแนนซ์ เศรษฐศาสตร์

หรือที่เกาหลี มีอยู่ช่วงหนึ่ง กฏหมายเป็นคณะที่บูมมาก ทุกคนอยากเข้าและคะแนนสูงมากๆและพ่อแม่เกาหลีก็อยากให้ลูกเรียน แต่อาจารย์คิมบอกว่า ตอนนี้มีนักศึกษากฎหมายที่ตกงานมากมาย เนื่องจากมีจำนวนนักศึกษาที่จบมากเกินจำนวนงานที่มี

มาดูข้อคิดของเรื่องนี้ ไม่ได้อยากบอกว่า สาขา Journalism ดีกว่า เรียนอักษร เราแค่อยากบอกสิ่งที่เราคิด บางทีมันก็มีมุมกลับเหมือนกัน อย่างคนไทยเชื่อว่าอาชีพหมอเป็นอาชีพที่ดีที่สุด น่าเรียนทีสุด (อารมณ์แบบ งานมั่นคง ไม่ตกงาน รวย?) แต่ที่เมกาเป็นอาชีพที่เงินเดือนสูงก็จริง แต่มีหมอคนหนึ่งเขาบอกว่า เงินเดือนก็หมดไปกับการจ้างทนายเพราะหมอเป็นอาชีพที่ถูกฟ้องร้องสูงมาก

สุดท้าย แคอยากบอกว่า อยากเรียนสาขาไหน อย่าเอาคะแนนที่ได้ไปนั่งเทียบหาคณะ แต่ต้องเลือกคณะที่เรามั่นใจ ว่าเราชอบจริงๆ (เพราะอย่าลืม เปลี่ยนคณะไม่ได้นะ นอกจากซิ่ว) แล้วใครที่อยากเรียนสายศิลป์ ก็อย่าไปใส่ใจคำพูดของคนอื่นมาก

แค่ทำให้คนที่เราสนิทและรักอย่างคุณพ่อคุณแม่เข้าใจก็พอแล้ว

Ps เขาว่ากันว่าคนเรียนสายศิลป์จะมีมุมติสท์และอีโก้สูง…เอ่อ เราก็เป็น(นิดนึง) ฉะนั้น ถ้าเจออะไรแย่ๆ เราก็ต้องผ่านไปได้ เชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้

เพิ่มเติม 2015

มาย้อนอ่านอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 5 ปีก็รู้สึกว่า…จำไม่ได้แล้วว่าหมอคนนั้นเป็นใคร แต่อยากบอกว่า สำหรับคนที่ตัดสินคนอื่นจากมหาวิทยาลัย / คณะ / ใบปริญญา

เราก็เป็นคนหนึ่งที่ผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ (ไงก็ไม่รู้) ส่วนตัวไม่ใช่คนที่อีโก้สูงหรือมั่นใจในตัวเองนะ แต่เพราะความกดดัน ณ ตอนนั้นมันทำให้เราต้องสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา เพื่อปกป้องความฝันของเรา

ความฝันของเราเป็นสิ่งที่โคตรเปราะบาง แต่ก็เป็นสิ่งที่เรารักมาก เราก็เลยต้องโอบกอด ปกป้องมันไว้ให้ดีที่สุด

อย่างของเรา เมื่อก่อนสัก 4-5 ปีที่แล้ว เคยพูด ว่าอยากมาเรียนมหาวิทยาลัยนี้ (ที่ๆ เราเรียนอยู่ปัจจุบัน) ก็มีคนที่แบบ “มองที่อื่นเผื่อไว้ด้วยนะ” “ไม่น่าได้หรอก”​แต่สุดท้ายใครจะรู้ว่า 5 ปีต่อมาเราก็ได้เข้ามาเรียนที่นี้ป่ะ แล้วเราก็ได้เจอเพื่อนหลายคนที่เรียนป.ตรีที่นี่ บางคนชีวิตม.ปลายเกเรไม่ได้ตั้งใจเรียนเลย บางคนโง่อังกฤษมาก บางคนเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ก็ไม่ติด เลยซิ่วมาเริ่มเรียน Community college ที่นี่แล้วย้ายเข้ามาเรียน บางคนจบป.ตรีมาแล้วจาก ม.ไม่ดัง (และบางคนเก่งมาตั้งแต่ออกจากท้องแม่ 55)

แต่อยากบอกว่า พวกเขาโชคดีมาก ที่ครั้งนั้นเขาไม่ยอมแพ้ ตั้งใจพยายาม เราบอกได้เลยว่าคนเหล่านั้น การที่จะได้เทียบอยู่ระดับเดียวกับพวกเก่งมาตั้งแต่ออกจากท้องแม่นั้น เหนื่อยกว่ามาก (เช่นเราที่โง่อังกฤษแบบสุดๆ) แต่สุดท้าย ท้ายสุดของความพยายามเราก็จะเห็นผลสักวัน

แม้ว่ามหาวิทยาลัย มันไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการเดินทาง แต่คือเครื่องหมายอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าความพยายามที่ผ่านมา ไม่ได้ศูนย์เปล่า

Advertisement

4 thoughts on “สิ่งหนึ่งที่ต้องทำใจเมื่อเรียนสายศิลป์

  1. จริงที่สุดค่ะ เรียนสิ่งที่อยากเรียนไปเถิด อย่างพี่ ตอน ป.ตรีเลือกเรียนสิ่งที่คะแนนสูงกว่า คะแนนถึง พอจบออกมาก็ไม่มีความสุข แถมงานที่ทำก็ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่จบมาเลย แทบอยากไปเรียน ป.ตรีใหม่ด้วยซ้ำค่ะ 🙂

    1. ขอบคุณค่ะ >_<
      ที่บ้านไม่มีใครเรียนมาสายนี้เลย ตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆ ตอนนี้เหมือนที่บ้านเริ่มทำใจละ 55+

  2. ใช่เลยพี่เพรฟ มีแต่คนมองว่าเรียนนิเทศเรียนไปทำไม เรียนง่ายจะตาย ฟังแล้วมันแอบเซ็ง แต่อย่างว่าอย่าไปใส่ใจเลยเนอะ ^^ ขอบคุณสำหรับบทความดีๆคะ 🙂

    1. เนอะ มันเป็นประโยชน์ที่น่าเบื่อมาก ที่จะฟัง << ที่สำคัญคนแก่พูด เราเลยทำได้แค่ยิ้ม 55+
      ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเช่นกันค่ะ

Comments are closed.

Create a website or blog at WordPress.com

Up ↑

%d bloggers like this: