Dialogue in the Dark – มาลองเป็นคนตาบอดกัน

2
วันเสาร์ชิลๆ แบบนี้ ทำอะไรดีน๊าาาา

มาลองเป็นคนตาบอดกันดีกว่า แต่ที่ว่าเป็นคนตาบอดไม่ได้หมายถึงให้เราเอาไม้มาจิ้มตาจนมองไม่เห็นหรอกนะคะ แต่จะชวนให้มานิทรรศการที่มีชื่อว่า Dialogue in the dark หรือบทเรียนในความมืด!!

โดยนิทรรศการนี้จะให้เราใช้เวลา 1 ชั่วโมงกว่าๆ กับการลองมาใช้ชีวิตแบบคนตาบอดดู เพราะภายในนิทรรศการนั้น มืดมาก มืดขนาดที่เรามองอะไรไม่เห็นเลย ^_^

แต่ไม่ต้องกลัวไป เพราะจะมีไกด์ของอยู่ข้างๆ เราคอยบอกทาง คอยสอนเราอยู่ค่ะ ถึงจะมืดจนมองไม่เห็น แต่เราไม่ชน ไม่ล้มเลยนะ

Dialogue in the dark ตั้งอยู่ ณ มุมหนึ่งของตึกจามจุรีสแควร์ บริเวณชั้น 4 เปิดใ้ห้เข้าชมทุกวัน โดยรอบแรกคือ 11.15 น. ซึ่งเราไปมาเมื่อวันพุธ เข้าชมรอบแรก มีแค่เราคนเดียว!! น่าตื่นเต้นปนวังเวงดี ซึ่งปกติเขาจะเปิดรับรอบละ 8 คน ทุกๆ 15 นาที

ก่อนเข้า ก็จะมีพี่บรรยายคร่าวๆ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของที่นี่ และก็บอกว่า ด้านในว่ามืดสนิทนะ อย่าพยายามเพ่งหาแสง (เพราะมันไม่มี) แล้วก็จะปวดตาได้ รวมถึงเขาก็สอนวิธีการใช้ไม้ของคนตาบอด ว่าใช้กวาดไปด้านหน้า 45 องศา อย่ายกสูงเพราะจะทิ่มคนด้านหน้าเอาได้

ก่อนเข้าเขาก็ให้ฝากของทุกอย่าง รวมถึงอุปกรณ์เรืองแสงทุกอย่าง เพราะจะทำลายบรรยากาศ ยิ่งตอนที่ตาเราปรับตัวกับความมืดแล้ว มาเจอของสว่างสุดๆ เจ็บตาแน่นอนค่ะ

พร้อมแล้วก็เข้าไปเลย (ต่อจากนี้เป็นสปอยเบาๆ นะคะ)

เขาก็จะให้เราเดินคลำๆ กำแพงเข้าไป เป็นจนมืด หลังจากนั้น พี่ไกด์ก็จะมาหาเรา ซึ่งเราก็ควรสนทนากับพี่เขาให้มากที่สุด เพราะ พี่เขาจะได้รู้ว่าเราอยู่ตรงไหน

ภายในก็จะมีทั้งห้องต่างๆ จำลองเป็น สวนบ้าง ถนนบ้าง ห้องนั่งเล่นบ้าง เป็นต้น ให้เราทายกันเล่นๆ ว่าเป็นห้องอะไร รวมถึงสิ่งของที่เราจับนั้น เป็นอะไร ซึ่งตอนจับต้นไม้ << มีหลายต้นมาก พี่เขาก็ถามนะ ว่าต้นอะไร เราก็แบบไม่รู้ แค่ใบจะไปรู้ได้ไง พอบอกชื่อมา.. เพิ่งจะรู้จักวันนี้แหละค่ะ TT

เวลาเดิน พี่เขาก็ชอบบอกนะคะ ว่าเดินตามเสียงพี่มา ซึ่งตอนแรก เราเองก็กลัวมากอ่ะ เพราะทุกวันนี้ก็แยกไม่เคยออกว่าเสียง มาจากทางซ้ายหรือขวา TT แต่น่าแปลกค่ะ เราเดินตามพี่เขาได้อย่างไม่หลงเลย TT แสดงให้เห็นว่า เมื่อประสาทตาเราหายไป ประสาทหูเราจะพัฒนาขึ้นอย่างอัตโนมัติ

ก่อนไปถึงห้อง สุดท้าย ก็คือห้องฟังเพลง ซึ่งปรากฏว่า เพลงมันเสีย ก็เลยต้องเวลาซ่อมอยู่นาน พี่เขาก็คงกลัวเราเบื่อก็เลยชวนคุยนู่นนี่ เขาก็ถามว่าจะไปเรียนต่อไหน เราก็บอกไปว่าไปบอสตัน เขาก็รู้จักนะ (ในขณะที่คนทั่วไป ยังชอบถามว่าบอสตันอยู่ไหน) ยังแซวๆ เลยว่าไม่ไปฮาร์วาร์ดหรอ << หนูไม่เก่งขนาดนั้นค่ะ TT

เขาก็ถามอีกว่าบ้านอยู่แถวไหน เราก็บอกชื่อถนนไป เขาก็ถามว่าแถวซอย…(ชื่อซอย) เราก็แบบ เฮ้ย! ไม่ธรรมดา คนตาบอดนี่ ความรู้เขาก็กว้างขวางมากๆ (บอกชื่อโรงเรียน ม.ต้นไปก็รู้จัก….มีอะไรที่พี่ไม่รู้จักบ้างคะ)

ส่วนสุดท้ายก็คือ บาร์ ขายขนม/น้ำ มาลองทานอาหารในความมืดดู อาหารก็ทั่วๆไป นี่แหละค่ะ เป็นขนม เขาก็บอกชื่อมา เราก็เลือก (อย่าลืมเตรียมสตางค์เข้าไปด้วยน๊า) เราก็ถามว่า พี่จะหยิบทั้งที่มืดๆ อย่างนี้นะหรอ พี่เขาก็ตอบกลับว่า น้องสั่งในความมืด พี่ก็จะหยิบให้ในความมืด….ค่ะ

หลังจากนั้น ก็มานั่งทานขนมในมุมมืดๆ น่าแปลกที่ถึงจะกินตอนมืดๆ ก็ไม่ต่างกับอยู่ที่บ้านเลย เพราะตอนอยู่บ้าน เราก็ไม่เคย ดูอาหารที่ทานเท่าไหร่ กินไปดูทีวีบ้าง เล่นคอมบ้าง จุดนี้เลยทานได้แบบชิวล์ๆ

ด้วยความที่มีคนน้อย เราก็เลยมีเวลาคุยกับพี่เขา พี่เขาก็ถามว่าอยากถามอะไรไหม เราก็ถามว่า คนตาบอดสามารถทำเรื่องทั่วไปได้แบบเราไหม เขาก็บอกว่า ส่วนมากได้ เราก็แบบแล้วทำกับข้าวทำไงอ่ะ พี่เขาก็บอกว่า ถ้าอย่างเวลาหั่นผัก เราจะรู้ความห่างของมือเรา 2 มืออยู่แล้ว ส่วนถ้าผัดหรือทอดอาหาร เราก็ใช้กลิ่นกับสัมผัสเอา

สุดยอด!

เราก็ถามเขาเรื่องงานบ้าง เขาก็บอกว่าคนตาบอดจะเสียเปรียบคนพิการอย่างอื่นหน่อย แต่ก็สามารถใช้คอมพิวเตอร์อะไรพวกนี้ได้นะ

ลืมบอกไป พี่ที่เป็นไกด์ให้เรา เขาเป็นคนตาบอดค่ะ แต่เล่น FB ด้วย << ถึงตอนนี้ก็ยังงงๆ อยู่ ว่าเขาเล่นยังไง

เราว่านิทรรศการนี้ จะทำให้เรามองคนเปลี่ยนไป จากปกติที่เราตัดสินคนจากภายนอก มองก่อนแล้วก็คิด คนนี้เป็นไงน้า นิสัยจะเป็นยังไง .. เปลี่ยนมาตัดสินจากเสียงแทน เอ๊ย! ไม่ใช่ เพราะเราจะไม่เห็นหน้าพี่เขาเลย จนกว่าจะถึงทางออก ซึ่งพี่เขาเดินมาส่ง

แต่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่า พี่ที่เป็นบาร์เทนเดอร์กับคนขับรถหน้าตาเป็นยังไง

คำแนะนำ สำหรับมาที่นี่ก็คือ

ถ้าเข้าไป พยายามพูดกับพี่ไกด์ให้มากที่สุด นอกจากจะได้ความรู้แล้ว พี่เขาจะได้รู้ด้วยว่าเราไม่หลง และเดินไม่ชนกัน

(ถ้าไม่กลัวความเปลี่ยวแบบสุดๆ) ก็แนะนำให้มารอบวันธรรมดาตอนเช้าแบบเรา<< พุธเช้า เวลาเดินก็ไม่ต้องกลัวว่าจะชนใคร หรือจะมีใครเอาไม้มาฟาดเรา TT

และเวลาเข้าไป อย่าพยายามเพ่งตาหาแสง เพราะมันจะปวดหัวมากๆ ให้ปล่อยสบายๆ คิดซะว่าอยู่ในความฝันตอนกลางคืนละกัน

1

ขอมอบ Quote สั้นๆ ที่คิดเองว่า

” Although it is totally dark, I also see the light”

ไม่ต้องกลัวว่าจะชนกับอะไร เพราะเราไม่ชนอะไรเลยสักอย่าง มีไม้วิเศษอยู่ในมือจะกลัวอะไร

อ๋อที่นี่ เสียค่าเข้าชมด้วยนะคะ นักเรียน นักศึกษา 50 บาท และคนทั่วไป 90 บาทค่ะ

ซึ่งถือว่าถูกนะคะ เราไปส่องของประเทศญี่ปุ่นมา ราคาค่าเข้าตั้ง 5000 เยน (พันกว่าบาทแน่ะ)

ไม่แนะนำสำหรับเด็กเล็กๆ เพราะอาจวิ่งซน ชนนู่นนี่ได้ รวมถึงไม่แนะนำสำหรับคนที่ไม่ชอบอยู่ที่มืด (เช่นแม่เราเอง…ชวนแล้ว ไม่ยอมมา) เพราะมันใช้เวลาด้านในนานมาก ตั้งชั่วโมงกว่าๆ อาจอึดอัดแบบสุดๆ เลย

PS. แต่ถ้าใครติดซีรีย์เกาหลีเรื่อง That winter, the wind blows แนะนำใ้ห้มา จะรู้สึกว่าตัวเองคือ ซองฮเยเคีียวตัวจริง

Comments are closed.

Create a website or blog at WordPress.com

Up ↑

%d bloggers like this: