ตอนนี้ว่างนิดๆ หนาวมากๆ เลยมาอัพบล็อกเกี่ยวกับการเรียนดีกว่า
เทอมนี้เป็นเทอมแรกของเราที่เรียนเป็นภาษาอังกฤษ ยอมรับว่าช่วงแรกๆ ทั้งมึนและงงมากๆ (ตอนนี้ก็ยังงงๆ กับการบ้านอยู่ในบางที) เกรดเทอมแรกอาจไม่สวยเหมือนอยู่ไทย =_= แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าเรามาเพื่อหาความรู้ละกันนะ
แต่ละเทอม มหาวิทยาลัยเราจะให้ลงเรียนทั้งหมด 4 วิชา วิชาละ 4 เครดิต
การลงเรียน
การลงวิชาเรียนก็ลงออนไลน์ ต้องแย่งชิงกันบ้างในบางวิชา มีทั้งเจนเอ็ด (general education) อย่างเทอมนี้ เราก็ลงเจ็นเอ็ดไป 2 วิชา Major ไป 1 ตัว และคอร์ส College Writing ซึ่งเป็นคอร์สบังคับของเด็กปีหนึ่ง เทอมแรก ทุกคน
College Writing – International
คอร์สนี้ เราโดนจับมาอยู่เซ็กชั่นของเด็กอินเตอร์ค่ะ
ทั้งห้องมีนักเรียนทั้งหมด 12 คน ทุกคนเป็นเด็กอินเตอร์หมดเลย ก็เลยเป็นคลาสที่ค่อนข้างสนิทกับ Classmate ที่สุด คุยกันมากที่สุด (ปกติคลาสอื่นแทบไม่เคยคุย…) แต่ถึงเขาเป็นเด็กอินเตอร์ ส่วนมากก็เรียนจบโรงเรียนอินเตอร์กันทั้งนั้น (ยกเว้นเรา) หรือไม่ก็มาเรียนมัธยมปลายที่อเมริกา
คลาสนี้ส่วนมากก็สอนการเขียนนั่นแหละ การเขียนเชิงวิชาการตั้งแต่ Essay 500 คำ ไปจนถึงการเขียน Paper ยาวๆ (ยาวสุดห้าหน้า..ประมาณสองพันกว่าคำ) มีให้เขียนทุกคาบ มีการบ้านทุกคาบ แถมมีหนังสือ (เกี่ยวกับการเขียน) ให้อ่านถึง 3 เล่ม
หนังสือที่เราใช้ก็คือ
- Reading Culture (เล่มนี้ปกสวย)
- Rewriting
- A short course in writing (เล่มนี้เนื้อหาดี)
เผื่อใครสนใจ จะได้ไปซื้อมาอ่านได้นะ
ส่วนมากคอร์สนีี้ก็เน้นการเขียนนั่นแหละ แต่หัวข้อแต่ละเรียงความนี่สิ บางทีก็เป็นเรื่อง Multicultural บ้าง บางทีก็เป็นเรื่อง Does the place we grew up affect our present? (จริงๆ มีเยอะกว่านี้ อันนี้เป็นตัวอย่าง)
แล้วก็ต้องมีการเขียน สนับสนุนหรือไม่เห็นด้วย (ให้เลือกเอา) กับ Text ที่อาจารย์เอามาให้อ่าน ซึ่งสนับสนุนก็ไม่ใช่แค่ ใช่ค่ะ หนูเห็นด้วย แต่เราต้องบอกเหตุผลว่าทำไมถึงเห็นด้วยกับเขา แล้วก็ต้องพัฒนา (develop) ต่อยอดเนื้อหาให้มากยิ่งขึ้น
แต่ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ต้องมีเหตุผลประกอบอย่างหนักแน่น…..
การให้คะแนนก็โหดใช่เล่น ทุกคอร์สเลยล่ะ ถ้าอยากได้ 4 (A) ต้องได้ 93 คะแนนจากหนึ่งร้อย…. แล้วอาจารย์ก็ไม่ปล่อยเกรดซะด้วยสิ อย่างคะแนนเฉลี่ยนคอร์สนี้อยู่ที่ B+ ค่ะ…
Grading
- Coming to Terms [short essay] 15%
เป็น Essay ประมาณพันคำค่ะ หัวข้อคือเรื่อง Multicultural ซึ่งเราต้องหา Thesis ( เมนไอเดียสำหรับ Essay เอง)
- Unit 2: Forwarding and Countering [5-page essay] 25%
เรียงความห้าหน้าค่ะ คือเขาจะมีบทความให้อ่านก่อน หลังจากนั้นเราก็ต้องเลือกว่าเราจะ Forward เห็นด้วย หรือ Counter ไม่เห็นด้วย หลังจากนั้นก็ต้องหา Thesis ของเราเอง แล้วก็แบ่งพารากราฟเหมือนกับการเขียน Essay
การเห็นด้วยก็ไม่ใช่แค่เขีียนว่า ใช่ค่ะ เขาพูดถูก แต่เราต้องเอาความคิดของเขามาเป็นฐาน แล้วต่อยอดความคิดของเราลงไป (ซึ่งยากมาก เพราะสิ่งดีๆ ประเด็นแน่นๆ เขาก็พูดมาหมดแล้ว)
ส่วนการไม่เห็นด้วย เราก็ต้องเอาไอเดีย ตัวอย่างของเรามาหักล้างความคิดเขา (ซึ่งเราเลือกทำอันนีี้ึค่ะ)
- Staging a Conversation [5-page essay] 30%
คล้ายกับอันบท แต่ต่างกันตรงที่มีบทความให้สองอัน แล้วเราก็ต้องอ้างถึงบทความทั้งสองในงานเขียนของเรา หัวข้อเรื่องการบ้านชิ้นนี้ก็ยากมากๆๆๆๆ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Feminist กับเรื่อง รูปภาพจากมีเดีย ซึ่งเราแบบ เกลียดทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ Feminism มากๆ จากใจ
แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าอเมริกา เป็นชาติที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความเท่าเทียมเรื่องเพศสูงมาก
- Taking an Approach 20%
การบ้านชิ้นนี้สนุกที่สุด เท่าที่ได้ทำมาในชีวิตหนึ่งเทอมนี้เลย
หัวข้อคือ “ให้เลือกนักเขียนที่เราชอบ (คนไทยก็ได้) แล้วเลือกรีไรท์งานข้างบนในสไตล์ของนักเขียนคนนั้น
ด้วยความที่เรารู้สึกว่านักเขียนคนไทยก็สไตล์คล้ายๆ กัน ตอนแรกจะเลือกพาร์เฟต์ (คือเลือกงานเขียนตัวเอง) เพราะตอนนี้ไม่มีหนังสือไทยอยู่ที่นี่เลย แต่คิดไปคิดมา ถ้าเลือกตัวเอง แล้วเขียนรีไรท์ มันต้องออกมาเหมือนเดิมแน่เลย
สุดท้ายเลยเลือกนักเขียนคนหนึ่งในกองนิตยสาร Aday จริงๆ เราว่าทุกคนในอะเดย์ก็เขียนคล้ายๆ กันนะ…สนุกค่ะ การบ้านชิ้นนี้ ประทับใจ เขียนออกมาเสร็จทำภาษาอังกฤษพังหมดเลย 55+ Run-on sentence เต็มไปหมด Topic sentence ไม่มี ขึ้นบรรทัดใหม่ตามที่ใจอยาก…มีความสุขมากบอกตง
- Other Coursework/Participation 10%
คะแนนน้อยสุด แต่จุกจิกที่สุด ตั้งแต่การเข้าเรียน การบ้านทุกอาทิตย์ (เป็นแบบ Check-in) ถ้าส่งตรงเวลาก็ได้เต็ม การมีส่วนร่วมในห้อง (คะแนนส่วนนี้เราหายไปเลย คือเราไม่รู้ว่าถ้าไม่พูดในห้อง ก็โดนตัด..เดี๋ยวเทอมหน้าเอาใหม่ ปัญหาเราคือ เราพูดไม่ทันเพื่อนค่ะ)
ความยากของคอร์สนี้คือ อาจารย์ไม่ได้ดูเรื่องแกรมม่า การสะกดคำเลย แต่เขาเน้นเรื่องเนื้อหา การจัดเรียงความคิด ไอเดียของเรา ซึ่งมันก็ยากมากๆ เราต้องเข้าใจว่าอาจารย์ต้องการอะไร บางที ถ้าเราจับสิ่งที่อาจารย์ต้องการถูก เราจะได้คะแนนสูงมากๆ แต่ถ้าจับไม่ถูกก็ได้น้อยลงมา
สำหรับคำแนะนำก็คือ เวลาเรามีปัญหา ให้เข้าไปหาอาจารย์เลยค่ะ อาจารย์ชอบให้นักเรียนมาหามากๆนะ แล้วก็บอกเลยว่าเรามีปัญหาอะไรยังไง ทุกคลาสเวลาที่เรามีปัญหา เราจะตรงไปปรึกษาอาจารย์ส่วนตัวเลยค่ะ (เราเป็นคนไม่ชอบยกมือถาม) ยิ่งกับอาจารย์บางคนเราพูดเลยว่า
“หนูไม่เคยเรียนแบบนี้ หนูไม่เคยเจอข้อสอบแบบนี้ หนูไม่รู้ว่าหนูควรอ่านหนังสือยังไง อาจารย์มีคำแนะนำไหมคะ”
คาดว่าตอนแรกอาจารย์คงเงิบเล็กๆ แต่เขาก็พยายามอธิบายสุดๆ ซึ่งมันก็ช่วยมากๆ ค่ะ
พี่ได้ทุนคิงไปเรียนหรือเปล่าคะ?
เปล่าค่ะ^^
บรรยากาศน่าเรียนมากๆเลยค่ะ อ่านแล้วตื่นเต้นแทนพี่เพรฟเลย^^
พี่ก็ตื่นเต้นทุกวัน 55