คำถามนี้ เป็นคำถามที่ฮิตที่สุด ทั้งในบล็อก และในชีวิตจริงๆ เวลาเจอใครก็ชอบถามประโยคนี้ตลอด
ไหนๆ ก็เป็นโพสที่ 200 แล้ว ก็เลยมาข้อตอบละกัน เพราะเหตุผลจริงๆ ยาวมากก
อยากได้ภาษา
ความรู้สึกเราคือ ถ้าอยู่ไทยเราก็คงไม่มีทางที่จะเก่งภาษาอังกฤษขึ้นแน่ แต่ถ้ามาอเมริกา ชัวร์! ก่อนมามีกลัวเรื่องภาษาไหม ก็ไม่มากนะ เราเป็นพวกมองการไกล(เกิน) แบบก่อนมานี่มองไปแล้วว่าอยู่เมกา 4 ปี ชั้นเก่งอังกฤษขึ้นแน่
อยากเปลี่ยน Lifestyle
เรารู้สึกว่า ถ้าเข้าจุฬา ไลฟ์สไตล์เราก็คงเหมือนเดิม ตื่นเข้า ไปเรียน นั่งเอื่อยๆ รอ กลับบ้าน กลับบ้าน ดูทีวี นอน… เลยอยากลองเปลี่ยน Lifestyle ใหม่หมด มาอยู่นี่ เราก็ได้เลือกสิ่งที่อยากทำ สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ ออกกำลังกาย ได้เรียนบัลเลต์ สังคมเพื่อนก็เปลี่ยนไป (ได้เจอเพื่อนต่างชาติมากมาย) ไม่เสียเวลารถติด ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ
อย่างมาอยู่นี่ก็ได้ออกกำลังกาย (คืออยู่ไทยไม่เคยออก =_=)
อยากได้อิสระ
อยากออกจากบ้าน 55 ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ง่ายๆ ก็คือชีวิตอยากมีอิสระ ภาษาอังกฤษเรียนว่า Independent!
อยากได้การศึกษาที่ดี
อันนี้คือเหตุผลหลักจริงๆ คือเรามาที่นี่ เราจะตอบเลยว่า For better education มันดีกว่ายังไง มาดูกัน (การเปรียบเทียบอันนี้อาจไม่ชัดเจน เพราะเราเทียบม.ปลายที่ไทย กับมหาลัยที่นี่)
- ไม่ยึดติดเรื่องภายนอก
เช่น เครื่องแบบ ทรงผม คือเธออยากใส่อะไรมาเรียนก็ใส่มาเหอะ ไม่มีใครว่า (แต่พอหน้าหนาว ทุกคนก็แต่งตัวเหมือนกันหมด 55) แทนที่จะให้นักเรียนเอาไว้เวลาไปใส่ใจกับว่า วันนี้ผมชั้นจะรอดอาจารย์ไหม กระโปรงจะผ่านไหม มาใส่ใจการเรียน
ไม่ใช่ว่าไม่ชอบเครื่องแบบนะ แต่รำคาญแค่บางทีมันมากไป เกิดมาผมสีน้ำตาล ผิด ต้องเรียกผู้ปกครองมา แต่เด็กโดดเรียนไม่ค่อยว่าอะไร เพลีย -
ไม่สั่งการบ้านไร้สาระ
คือการบ้านที่นี่ มีประโยขน์ ช่วยให้นักเรียนเข้าใจบทเรียน เอาไปประยุกต์ เชื่อมโยง ไม่ใช่ว่า ให้หารายชื่อต้นไม้ สรรพคุณต้นไม้ ใบวิ่ง ฯลฯ พอถามเหตุผลก็บอกว่า สสส สั่งมาบ้าง เป็นคำสั่งจากเบื้องบนบ้าง เคยคิดไหม ว่าให้เด็กมาวิ่งตอนสี่โมงที่แดดโคตรร้อน มันทำให้เด็กป่วยได้นะคะ แล้วรองเท้าผู้หญิงเหมาะกับวิ่งมากค่ะ เคยวิ่งที ปวดเข่าเลย (หลังจากนั้นเลยโกงใบวิ่งตลอด 55)…. เรื่องใบวิ่งกับเรื่องผมนี่ ให้ตายยังไง มันก็จะโผล่อยู่หลายโพสในบล็อกนี้แน่ๆ ค่ะ เพราะเป็นอะไรที่เราหงุดหงิดมากที่สุดแล้ว -
สามารถเลือกเรียนในสิ่งที่ชอบได้
อยากบอกว่า ไปเล่าให้เพืื่อนคนไหนฟัง ว่าที่ไทยนะ ถ้าเธอจะย้ายคณะ เธอต้อง “ซิ่ว” หรือกลับไปเรียนปี 1 ใหม่เลยนะ เพื่อนทุกคนตอบกลับเป็นเสียงเดียวกันว่า “That is silly.” เราก็ย้ายค่ะ ตอนสมัครเข้ามา สมัครมา Journalism ตอนนี้เรียน Marketing Communication -
สอนให้นักเรียนจับเมนไอเดียให้ได้
คืออาจารย์จะเน้นคอนเซปต์ค่ะ ไม่ได้ออกข้อสอบดีเทลแบบ อีตาคนนี้เกิดปีอะไร ใส่เสื้อสีอะไร (อยากบอกว่าคนออกข้อสอบใส่เสื้อสีอะไรนี่ เป็นอะไรที่แบบ….. แต่ก็เคยเจอมาแล้วที่ไทย) เราเพิ่งอ่านจับใจความเป็นก็ตอนมาอยู่ที่นี่แหละ ช่วงแรกๆ แทบตาย เพราะอ่านเป็นแต่แบบจับดีเทล (เช่นอีตาคนนี้ ผมสีอะไร เกิดเมื่อไหร่ เวลาอ่านจะจำได้แต่พวกนี้) ก็ไปปรึกษากับอาจารย์ให้เขาช่วย เขาก็แนะนำอย่างเยอะ ก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ถ้ากลับไปสอบกลางภาคที่เตรียมฯ ใหม่ คงตก 55 จำไม่ได้จริงๆ ว่าอีตาคนนั้นใส่เสื้อสีอะไร -
บรรยากาศการเรียน
ถึงจะเป็นส่วนที่ยากสำหรับเรา เพราะบางทีก็คิดถึงห้องเรียนเงียบๆ ที่ไทย ที่มาเรียน จดๆ แล้วก็กลับบ้านเหมือนกัน (เพราะเราเป็นคนพูดไม่เก่ง) แต่เรียนแบบนี้ ก็ได้ความรู้จากเพื่อนรอบตัวดี แถมทำให้เป็นคนมั่นใจในเรื่องที่ถูก (ปกติไม่เคยยกมือถามเลยยยย) -
ความคิดเป็นระบบ
อันนี้เป็นอะไรที่ไม่ได้คาดคิด แต่เพราะการเรียนโดยเฉพาะการเขียนเป็นภาษาอังกฤษ มันทำให้เราจัดระบบความคิดได้ดีขึ้นมาก เป็นสิ่งที่ต้องฝึกค่ะ ฝึกมากๆ ด้วย (กว่าจะทำได้นี่ก็ยากอยู่นะ)
ตอนแรกมีอยู่ในใจ 3 ที่ค่ะ คือ เมกา เกาหลี ญี่ปุ่น
หลักตัดช้อยง่ายมากค่ะ คือ ตัดเกาหลีทิ้งไป เพราะคนเกาหลีหลายคนก็อยากมาเรียนเมกา (แสดงว่าเมกาดีกว่า?) ญี่ปุ่นก็สอบทุนรัฐบาลไม่ติด (สมัครกับมหาวิทยาลัยเองไม่เป็น ภาษาญี่ปุ่นก็ยังไม่ดี 55) สุดท้ายก็เหลืออเมริกา
สมัครมหาวิทยาลัย 4 ที่ ได้ตอบรับหมดค่ะ แต่เงื่อนไขไม่เหมือนกัน ที่แรกติดเป็น Condition, ที่ๆ 2 ไม่ได้ Major (และย้ายเข้าเมเจอร์ยากโคตร เลยไม่อยากเสี่ยง แถมเปิดดูคอร์สเรียนเหมือนที่ Emerson เลย มา Em ดีกว่า ถูกกว่าเกือบเท่าตัว 55+), ที่ๆ 3 เขาไม่ให้ gap-year , ที่สุดท้าย เป็นม้านอกสายตามาก อย่างที่บอกว่าสมัครมาเรียน Emerson เพราะว่าค่าสมัครมันฟรี 55+ แล้วก็ดูนิเทศๆ ดี แถมได้ทุนด้วย ได้ Major ที่อยากเข้าด้วย (แม้ว่าสุดท้ายจะเปลี่ยนเมเจอร์ก็ตาม) ก็เลยเอาที่นี่แหละ จบ แล้วที่ขำคือ จดหมายมันมาที่ละที่ค่ะ จากอันแรกจนถึงอันสุดท้ายตามลำดับ พอที่แรกมาก็กรี๊ด ดีใจ จะไปเรียนที่นี่แล้ว เตรียมพร้อม พอที่ๆ สองมา (มาวันเกิดพอดีเลย) ก็แบบ เห้ย นี่มันโชคชะตา ไม่เอาที่แรกแล้วจะไปที่นี่ เรื่อยมาจนถึง Emerson เป็นที่สุดท้าย ตอนแรกเกือบไม่รู้แล้วด้วยว่าได้ทุน…