ใครยังไม่ได้ไปอ่านภาคแรกอย่าลืมอ่านก่อนนะ
My English Story เรื่องเล่าการเรียนภาษาอังกฤษฉบับพาร์เฟต์ 1
โอเค ภาคนี้จะมาเล่าเกี่ยวกับ SAT ล้วนๆ เน้นภาคภาษาอังกฤษ เป็นหลักนะ เลขไม่พูดถึงเพราะเป้าหมายเราคือทำให้ได้เต็ม
เป้าหมายเริ่มแรก เท่าไหร่/เพื่ออะไร
ตั้งแต่สมัคร SAT และตัดสินใจลงเรียนพิเศษ เราก็ตั้งใจเลยว่า เราจะไปเรียนอเมริกา!
ตอนนั้นมหาวิทยาลัยในฝันคือ Columbia University กับ UC-Berkeley ค่ะ (แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สมัครทั้งคู่ 55 อันแรกคะแนนไม่ถึงแน่ๆ อันหลังสาขา Journalism ระดับป.ตรี ไม่ค่อยดัง) ฉะนั้น เราก็ต้องตั้งใจกับ SAT มากๆ เพราะเราต้องไปสู้กับฝรั่งหรือแม้แต่เด็กอินเตอร์ที่เก่งภาษาอังกฤษกันสุดๆ
เป้าหมาย SAT ตั้งไว้ว่าอยากได้สัก 2000 นิดๆ (โลภเนอะ) แต่ต้ังเป้าหมายให้สูงไว้ตกลงมาก็ไม่ต่ำมาเกินไป 55 ส่วนตัวจะเป็นคนชอบตั้งความหวังไว้สูงเกินความสามารถนิดนึง ท้าทายดี 55
เริ่มต้นยังไง
หนังสือ SAT เล่มแรกคือ Kaplan ค่ะ ก็ทำๆ ไปครึ่งเล่มมั้ง ก็ไม่ได้ยากมาก CR (Critical reading) ทำไปก็ได้คะแนน 4-5 ร้อยกว่าๆ แต่ของ Kaplan มันของเล่นค่ะ คือมันง่ายกว่าของจริงมาก แล้วก็ท่องศัพท์ไปเรื่อยๆ ใช้ของ Baron 3500 คำค่ะ
ตารางอ่านหนังสือตอนนั้นเป็นไง
กรี๊ดดด อยากบอกว่าลืมไปบ้างแล้ว มัน 3 ปีแล้วนะ TTT
ตอนนั้นปิดเทอมพอดี (ปิดเทอมใหญ่ขึ้นม.6) หลังสอบ CU-AAT เสร็จ (จากภาคแรก) ก็เป็นช่วงการบ้านเยอะมากของโรงเรียนและสอบ Final ซึ่งเราไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่นเลย ตอนนั้นมีไปเรียนภาษาญี่ปุ่นแบบเอนทรานซ์ด้วย (เพื่อ?) แต่ลงไปคอร์สนึงก็เลิก เพราะรู้ว่าเราไม่สามารถสู้เด็กศิลป์ญี่ปุ่นได้แน่ๆ ก็เลยกลับมามุ่งมั่นกับ SAT ต่อ
พอปิดเทอม ช่วงวันธรรมดาก็มีไปลง คอร์ส Writing ของ British Council แต่โคตรไม่ช่วยอะไรเลย =_= คือเราไม่ชอบของ British council เท่าไหร่ เราชอบของ AUA มากกว่า … เสาร์อาทิตย์ไปเรียน SAT ค่ะ ที่เหลือก็อ่าน SAT ค่ะ สมัยนั้นเหมือนที่บ้านยังไม่ได้ติดเน็ตความเร็วสูง คือแบบชีวิตก็ยังไม่ได้เล่นเน็ตมากขนาดนี้ ก็อ่านหนังสือค่ะ (คงมีทำอย่างอื่นด้วย แต่จำไม่ได้จริงๆ)
เราเป็นคนไม่มีตารางเวลาอ่านหนังสือ ว่าวันนี้อ่านกี่โมงถึงกี่โมง เพราะเราไม่ชอบ มันกดดันไป เคยกำหนดตารางอ่านหนังสือนะ แต่ไม่เคยทำได้เลย (แต่น้องสาวเราทำนะ แบบเวลาเป๊ะมาก แล้วเขาก็ทำตารางได้จริงๆ โคตรเทพ) ก็แล้วแต่คนนะ แต่เราจะเขียนไว้ว่าวันนี้ต้องทำไรบ้าง เช่นอ่านถึงบทนี้ ท่องศัพท์ถึงตรงนี้ ส่วนเรื่องเวลาก็วาดในหัวไว้คร่าวๆ
ใช้เวลาเตรียมตัวสำหรับ SAT เท่าไหร่
3 เดือนตอนปิดเทอมใหญ่ค่ะ เท่านั้นจริงๆ เพราะมันไม่ทัน TT แต่เป็นสามเดือนที่มุ่งอังกฤษกับ SAT อย่างเดียวเลย (เยอรมันนี่เททิ้งไปเลย)
ท่องศัพท์ยังไง
ใช้บัตรคำศัพท์ค่ะ นั่งตัดกระดาษเอง เขียนเอง ท่องเอง เหมาะมากสำหรับการเรียนคำศัพท์เยอะๆ ในเวลาสั้นๆ (และจำได้สั้นๆ ตอนนี้อย่าถามนะ 55 จำไม่ได้แล้ว เดี๋ยวจะต่อป.โทค่อยท่องใหม่ TT)
เรียนพิเศษที่ไหน ได้ผลไหม
ที่ ATP ค่ะ ของเราถือว่าได้ผลนะ แต่แอบแพง (แต่เพราะ SAT สูงก็ทำให้ได้ทุนจากมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ปัจจุบันก็โอเค ถือว่าเป็นการลงทุน)
ร้องไห้/ ท้อไหม ทำไง
เยอะค่ะ TT เกิดมาเราแทบไม่เคยร้องไห้กับเรื่องเรียนเลยนะ
ตอนช่วงครึ่งแรกที่เริ่มอ่าน SAT ร้องไห้ บ่อยมากกก แบบ เรียนก็แล้ว ท่องศัพท์ตั้งเยอะ ทำไมคะแนนไม่ขึ้นสักที “จะได้ไปเรียนอเมริกาไหม” เป็นประโยคที่ถามตัวเองแล้วก็กลัวที่สุด ตอนนั้นอเมริกามันดูไกลมากๆๆๆ (แล้วแม่ก็ไม่ค่อยอยากให้มาด้วยสิ TT)
ใครว่าสอบ Entrance GAT PAT เครียดนะ SAT คือที่สุดของความโหด (แต่พอมองกลับไปมันก็แค่ Stupid American Test 55) คือเอ็นทรานซ์เราแข่งกับคนไทย ใช้ภาษาไทย แต่นี่คือเรารู้สึกเหมือนต้องแข่งกับเด็กเมกัน ที่เกิด เรียน เติบโตด้วยภาษาอังกฤษมาตลอด
หนังสือที่ใช้
ไปส่องได้ใน แนะนำ หนังสือ SAT คือเราใช้แทบทุกเล่ม ยกเว้น Gruber (แค่เอาศัพท์มาท่องอย่างเดียว) คำแนะนำคือให้เก็บเล่มฟ้า College board ไว้ทำหลังสุด เพราะข้อสอบจะเหมือนของจริงมาก ของเราทำเล่มฟ้าได้คะแนนเท่าไหร่ คะแนนจริงก็ออกมาเท่านั้นแหละ (บวกลบทุกพาร์ทไม่เกินหนึ่งร้อย)
หนูอ่อนอังกฤษมากเลย ทำยังไงดี
เราก็ไม่เก่งอังกฤษค่ะ แต่ต้องพัฒนาให้มาเป็นระดับเป็นผู้เป็นคนก่อน (ไปอ่านภาคแรกก่อนเลย) หลังจากเป็นผู้เป็นคนแล้ว เราก็ต้อง Advance มันด้วยการสอบ SAT 55
เทคนิกทำ SAT สำคัญแค่ไหน
มีคนบอกว่า เทคนิกสำคัญแค่ 10 เปอร์เซนต์ ที่เหลือคือต้องอ่านหนังสือ ท่องศัพท์มากๆ สำหรับเรา เราว่ามันสำคัญประมาณ 20 เปอร์เซนต์ค่ะ
เทคนิกที่เคยเขียนไว้คือ
เทคนิก จากคนได้ SAT เต็ม (2400)
เทคนิก จากคนได้ SAT เต็ม (2400) part 2
เทคนิกการทำ SAT- Critical Reading
วิธีสอบ SAT ให้ได้คะแนนสูงๆ (จากรุ่นพี่ฮาร์วาร์ด)
แล้วก็วิดีโอวิธีการทำ CR ของเรา (สั่นหน่อยนะ ขอโทษจริงๆ เพราะใช้กล้องมือถือถ่าย)
เราไปเอาความตั้งใจมากมายมาจากไหน
อยากมาอเมริกาค่ะ เป็นความดันทุรังส่วนตัว แต่เราเป็นคนที่ถ้าอยากได้อะไร ก็จะทำแบบสุดๆ แต่เราก็ไม่ใช่คนที่ขยันแบบ ร้อยเปอร์เซนต์นะ แค่ดันทุรังสูง 55
ผลลัพธ์เป็นไง/ พอใจไหม
โอเคค่ะ แต่อยากได้สองพัน (คือเกือบถึงแล้ววววว) ได้ประมาณ 1950
หลังสอบ SAT แล้วชีวิตในโรงเรียนเป็นไง
ช่วงสองอาทิตย์แรกที่เปิดเทอม เราอ่าน SAT ในคาบภาษาเยอรมันตลอดเลย 55 แทบไม่ได้เรียน นั่งท่องศัพท์อังกฤษอย่างเดียว แต่ SAT ก็ทำให้คะแนนวิชาภาษาอังกฤษดีขึ้นด้วยนะ นึกดูว่าจาก ม.4 คะแนนอังกฤษเราอยู่ที่โหล่ของห้อง จนม.6 เราได้มาอยู่แบบท็อปๆ ของห้องได้ (เพื่อนก็แบบงง มันไปทำอะไรมาวะ) ส่วนคะแนนเยอรมันก็ตรงข้ามอย่างชัดเจน 55
ยิ่งเพื่อนเห็นคะแนน SAT เราทุกคนก็แบบ เห้ย แกทำได้ยังไง ทุกคนแบบตกใจมาก 55 เราก็บอกไปว่าแค่อ่านหนังสือกับเรียนพิเศษ มันเป็นคำอธิบายสั้นๆ แต่ก็จริง
คือ จริงๆ เราก็เป็นคนชอบคำชมนะ (มีใครไม่ชอบบ้างล่ะ) ยอมรับว่ามีความสุขมาก ที่เพื่อนมาชม มาร่วมยินดี (หรืออาจมีใครปนอิจฉาบ้างก็ไม่รู้ 55 เราเป็นคนไม่มี Common sense ค่ะ)
แต่เขาไม่รู้หรอก ว่ากว่าเราจะมีวันนี้ได้ มีต้องผ่าน ต้องพยายามมามากแค่ไหน เครียด ร้องไห้ ฯลฯ ไปเท่าไหร่ (เพราะเราเป็นคนไม่พูดความรู้สึกตัวเองค่ะ) ตอนม.4 เราว่าเพื่อนต้องมองและคิดว่าเราเป็นคนอ่อนอังกฤษแน่เลย รวมถึงตัวเราเองด้วย เพราะคะแนนอังกฤษแย่ซะขนาดนั้น แต่เราก็ไม่ยอมไง พยายาม จากคนที่ “ไม่มีหัวทางภาษา (อังกฤษ) เลย” มาจนเป็นวันนี้ได้
ต้องมีพรสวรรค์ มีโชคช่วยไหม
จริงๆ อยากบอกว่า เราเป็นคนที่ดวงไม่ดีมากๆ มั่วข้อไหนก็ไม่เคยถูก จับฉลากก็ไม่เคยได้รางวัลใหญ่… และเราก็เป็นคนที่คิดว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ด้วย แต่ที่สำคัญคือ เราไม่เชื่อเรื่องพรสวรรค์ค่ะ ทุกอย่างในโลก เราเชื่อว่ามันเกิดจากพรแสวงล้วนๆ
ก่อนจบจะบอกว่า เบื้องหลังหรือ สิ่งที่สำคัญคือเป้าหมายค่ะ
ตั้งแต่เราเริ่มคิดที่จะฟิตภาษาอังกฤษ เราก็ทำได้ตั้งแต่ภาคแรกเพราะมีเป้าหมายค่ะ (อยากมาเรียนเมกา) ยิ่งเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนเท่าไหร่ เราก็จะมีแรงกระตุ้นและก็มีโอกาสสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น สิ่งที่อยากให้ทำวันนี้ คือลองถามตัวเองว่าเป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร (การเรียนหรือการงานก็ได้ พยายามเจาะจงให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เช่นคณะ มหาวิทยาลัย)
เมื่อมีเป้าหมายแล้วก็เดินไปให้สุด ในทางที่เราฝันนะคะ
โพสนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่บอกความรู้สึกบอกสื่อขนาดนี้ แค่รู้สึกว่ามันผ่านไปนานแล้ว ประสบการณ์นี้มันก็ตกผลึกเป็นแค่ความทรงจำ เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเส้นทางอันแสนยาวไกลในชีวิตของเรา
ใครกำลังจะเตรียมสอบ อย่ายอมแพ้นะคะ!
เพิ่งรู้ว่าพี่เรียน Journalism
ผมก็อยากเรียน เหมือนกัน Jornalism and Mass Communication
อ่านแล้วมีแรงสู้ขึ้นมาทันทีเลยค่ะ 555 จะติดตามตลอดๆค่ะ ><
สู้ๆ นะคะ ^^