How to Write: เขียน Essay ยังไงให้เก่งเหมือน Native

ตอนแรกนึกว่าเคยเขียนเรื่อง Writing แล้ว แต่มานั่งหาดู เห้ย! ไม่เคย (ตกใจมากอ่ะ)โพสนี้ เราจะมาพูดถึงว่า การเขียนภาษาอังกฤษยังไง ให้เก่งให้เป๊ะ เหมือน Native ซึ่งโพสนี้ คือรวบรวมสิ่งที่เราเรียนมา แล้วก็ทำมา อาจมีผิดพลาดได้ (ใครเจออะไรผิดก็คอมเมนต์บอกได้นะคะ เดี๋ยวแก้ให้) เพราะเราเองก็ไม่ได้เรียนเอกอิ๊งค์…

จริงๆ แล้ว ปัญหาของคนไทยที่มีคือ

1. ขาดไอเดีย ขาดความรู้ ขาดความคิดสร้างสรรค์ ลองนึกดูว่าถ้าเขาให้เราเขียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย กับวัฒนธรรมชนเผ่าอินเดียนแดง เราก็ต้องเขียนเรื่องแรกได้ดีกว่าอยู่แล้วจริงไหม

2. ขาดการ Organize

3. ปัญหาทางภาษา

1. ขาดความรู้

ได้หัวข้อรายงานมา แบบเห้ย ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย วิธีการก็คือต้องหาข้อมูลค่ะ อย่างเราลงคอร์สเรียน Writing สิ่งที่ต้องทำก็คือ นั่ง Research ข้อมูล ใช้เวลาอ่านข้อมูลไปครึ่งๆ กับเวลาเขียนเลย (เผลอๆ เยอะกว่าอีก) เราสามารถหาข้อมูลได้จาก
– หนังสือทั่วไป หรือวารสารวิชาการ
– งานวิจัย บางทีก็มีในเน็ต บางทีก็ใช้ของมหาลัย
– Google scholar (ลองเสิร์จดู)
– ข่าวจากหนังสือพิมพ์ หรือโทรทัศน์
– ผลสำรวจ สถิติต่างๆ (เอามา Support รายงานเรา)

---

2. ขาด Organization

จริงๆ อันนี้เป็นปัญหาใหญ่มาของคนไทย เพราะโครงสร้างเรียงความภาษาไทย กับภาษาอังกฤษไม่เหมือนกันเลย

 

นี่คือ ตัวอย่างหน้าตา Essay  ไม่ว่าเราจะเขียน Essay  300 คำ หรือเป็นหลายๆ หน้า โครงสร้างของมันก็ยัง “ต้อง” เป็นแบบนี้ไม่เปลี่ยนแปลง

Introduction – เริ่มต้นด้วยการเกริ่นนำกว้างๆ แล้วค่อยๆ ตีแคบลงมาให้เหลือ Thesis ของเรา ซึ่งจะมีได้แค่หนึ่งประโยคเท่านั้น ซึ่ง Thesis จะอยู่ในประโยคสุดท้ายของ Introduction ค่ะ

Ex. ตัวอย่าง Essay ของเราเอง (เกี่ยวกับประโยชน์ของการสื่อสารด้วยเทคโนโลยี)

The way people communicate changes from time to time. Now, it is a digital age where technology takes part in every aspect of our lives, including how we communicate…….I believe that we gain a lot of positive things from technological communication.

วิธีการสื่อสารของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตอนนี้เป็นยุคดิจิตอลที่เทคโนโลยีมีบทบาทในทุกแง่มุมของชีวิต รวมถึงการสื่อสารของเรา…….. ฉันเชื่อว่าเราได้รับประโยคมากมายจากการสื่อสารด้วยเทคโนโลยี

Body – จะแบ่งเป็น Paragraph ตามเนื้อหาของเรา ตามหลักก็คือ เริ่มต้นด้วยใจความหลักของ Paragraph นั้น

Ex) ตัวอย่าง Topic sentence ของแต่ละ paragraph ของเรา

I-  Firstly, technology allows people to be a part of real events.

อย่างแรก, เทคโนโลยีทำให้มนุษย์มีส่วนร่วมในอีเว้นต์แบบเรียลไทม์

II- Also, technology helps people inform others about major events like natural disasters and social movements.

เช่นกัน เทคโนโลยีช่วยให้คนให้บอกเหตุการณ์สำคัญเช่นภัยพิบัติธรรมชาติกับคนอื่น

III – Another advantage of the technological development especially social media is that it changes the group of people who controls the way the public access information.

อีกหนึ่งประโยชน์ของการพัฒนาเทคโนโลยีโดยเฉพาะโซเชียลมีเดียก็คือเกิดการเปลี่ยนกลุ่มคนที่ควบคุมวิธีการเข้าถึงข้อมูล

IV- Finally, technology makes people more empathetic. 

สุดท้าย เทคโนโลยีช่วยทำให้ผู้คนมีค.เห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น

จะเห็นได้ว่าทุกประโยคมีคำว่า Technology หมดเลย มันคือการลิงค์กลับไปที่หัวข้อหลักของเรา ซึ่งการลิงค์นี้ต้องมีสองแบบคือ

1. ลิงค์กลับไปที่หัวข้อ (Technology)

2. ลิงค์กับบรรทัดก่อนหน้า อย่างที่เห็นคือ เราใช้ Firstly, Also, Another, finally จริงๆ ส่วนมากที่คนนิยมใช้ก็คือ Firstly, secondly และ finally แต่ Essay ของเรามี Body หลายย่อหน้ามาก เลยต้องใช้แบบนี้แทน

ส่วนโครงสร้างในแต่ละย่อหน้าของ Body ก็คือ

1. Topic sentence (ที่ยกตัวอย่างมา)

2. คำอธิบาย (สักสองสามประโยค..)

3. ตัวอย่าง

Conclusion 

ย้ำ Thesis อีกที แล้วก็เพิ่มเนื้อหาอื่นๆ ลงไป ส่วนตัว เราว่า Conclusion เขียนยากมากอ่ะ อันนี้บางส่วนของเรา

The modern digital age has many beneficial effects on our society. At the least, it makes the way we communicate with each other become much easier. Still technology is just a tool, and we, humans, are the ones who really use it. We have to be careful while using it. Otherwise, we will lose ourselves in both action and feeling to the cyber world.

ยุคดิจิตอลให้ประโยคมากมายต่อสังคมของเรา อย่างน้อยก็ทำให้การสื่อสารระหว่างกันและกันง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ และพวกเราที่เป็นมนุษย์ก็คือผู้ใช้ที่แท้จริง เราจำเป็นต้องระมัดระวังในการใช้ มิเช่นนั้น เราก็อาจหลงเข้าไปติดกับอยู่ในโลกไซเบอร์

---

3. ภาษา

ภาษาอังกฤษ ส่วนมากสิ่งที่คนไทยผิดกันเยอะก็คือ (จริงๆ คือเราผิดบ่อยนั่นเอง)

• Subject and verb agreement (เช็คว่าประธานเป็นเอกพจน์ หรือ พหูพจน์ ต้องใช้กริยาใน tense ไหน)

• ใช้ Preposition ผิด (ตรงนี้ยากมาก ต้องอ่านเยอะๆ ถ้าไม่แน่ใจ เปิด Google ช่วยได้นะ ส่วนมากเราจะกดตรง google news แล้วดูว่าถ้าใช้ verb นี้ ต้องใช้คำ preposition in on at แบบไหน)

• ประโยคยาวเยื่นเย้อ ให้พยายามตัด อย่าให้ยาวเกิน ฝรั่งอ่านแล้วงง

• เลือกใช้คำผิด (word choice) บางคำเราท่องมาว่าความหมายเหมือนกัน แต่จริงๆ ใช้ต่างกัน อย่างคำว่ายอมรับ  admit กับ accept  แต่สมมติจะพูดว่า  “เขายอมรับว่าเขาทำศัลยกรรม” ต้องใช้ว่า “She admitted she had undergone plastic surgery” ไม่ใช่ Accept เป็นต้น

• กำกวม บางทีเราใช้ It is / they are  ฯลฯ แต่ตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่า It ในที่นี้หมายถึงอะไร ทุกครั้งที่เราใช้พวกคำสรรพนาม it they she he เราต้องระบุได้เสมอว่ามันระบุถึงคำนามคำไหนในประโยคหน้าๆ

ประมาณนี้ อันนี้เป็นพวก essay ที่เราเขียนตอนปี 1 คลาส english 101, writing 101 ก็จะประมาณนี้ สอบ TOEFL พาร์ทเขียนก็เอาไปใช้ได้เหมือนกัน จะเป็นข้อสอบสไตล์นี้