2 month alone in Japan: ครั้งหนึ่งในฝันของเด็กเรียนญี่ปุ่น

เราเชื่อว่าทุกคนมีความฝัน ความฝันของพวกเราแตกต่างกันออกไป
เราก็เป็นคนหนึ่งที่มีความฝันมากมาย อยากทำนู่นทำนี่ประปราย
แต่สิ่งหนึ่งที่เราเสียดายและหากย้อนเวลากลับไปได้ เราจะทำก็คือ “การเป็นเด็กแลกเปลี่ยน”
เราอยากลองไปอยู่ต่างประเทศสักปี ใช้ชีวิตแบบคนประเทศนั้น กินข้าว ไปโรงเรียน พูดคุย
เรามีความฝันนี้ตอนอยู่ ม.6 ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ทันแล้ว….เราก็เก็บความฝันแพ็คลงกล่องไว้
จนกระทั้ง วันนี้ที่เราได้กลับญี่ปุ่นอีกครั้ง

ปีใหม่ 2014

ช่วงปีใหม่ที่เราหนีหนาวจากบอสตัน ไปที่ (หนาวกว่า) ชิคาโก้ เราก็ต่อรองกับแม่อยู่นานมาก จริงๆ คือเราอยากไป Summer Program ของ Yonsei ที่เกาหลี แต่บ้านเราไม่ชอบเกาหลีเท่าไหร่ (ไม่เห็นมีอะไรเลย จะไปทำไม ฯลฯ) สุดท้ายการต่อรองก็มาลงเอยที่ญี่ปุ่น ก็เป็นอันว่าเราได้มาอยู่ญี่ปุ่น 5 อาทิตย์ + เที่ยวอีก 1 อาทิตย์นั่นเอง

การหาโรงเรียน+ โฮมสเตย์

จริงๆ เราแทบไม่ได้ทำอะไรเลย ตอนแรกหาแล้ว แต่แม่ (ซึ่งเป็นคนจ่ายตังค์) เหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง สรุปแม่ก็เลยหาเอง ผ่านเจย์เอ็ดดูเคชั่น ซึ่งข้อดีก็คือ เราแทบไม่ต้องทำอะไรเองเลย แค่เตรียมเอกสารให้พร้อม เขาเป็นคนติดต่อให้ แต่ข้อเสียก็คือ เหมือนเขาจะได้เปอร์เซนต์อยู่ (แล้ว) ก็เลยจะเชียร์บางที่แบบออกนอกหน้า ส่วนตัว แม่เราก็เลือกที่ที่ถูกๆ ส่วนโฮมสเตย์ขออย่างเดียวคือเดินทางไม่ไกล

สรุปก็คือได้มาเรียนที่จังหวัด Saitama ซึ่งอยู่เหนือโตเกียว จากสถานี shinjuku นั่งรถไฟมาประมาณ 40 นาทีเอง

ส่วนโรงเรียน ชื่ออะไร ขอไม่บอกนะคะ เพราะเราตั้งใจเขียนโพสนี้เพื่อบันทึก และรีวิวประสบการณ์ของเราเอง ไม่ได้อยากรีวิวโรงเรียน ที่สำคัญคือ เราเรียนระยะสั้นแค่ 1 เดือนเอง ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับโรงเรียนนี่มาก ขนาดจะทำรีวิวเท่าเด็กที่เรียนระยะยาวได้ (แต่ถ้าใครอยากรู้จริงๆ หลังไมค์มาถามได้ค่ะ) อีกเหตุผลหนึ่งคือ มีรีวิวที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับโรงเรียนนี้อยู่ในเน็ต ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันจริงเท็จแค่ไหน ก็เลยไม่ค่อยอยากยุ่ง….

เอาเป็นว่า เรากลับมาถึงไทยจากอเมริกาวันอังคาร วันรุ่งขึ้นไปทำวีซ่า วันจันทร์ได้วีซ่า วันศุกร์ก็บินมาญี่ปุ่นเลย

วันแรกในญี่ปุ่น 

หลังจากโบกมือลาพ่อกับแม่ที่สนามบิน เราก็เดินเข้าไปในเกตที่สุวรรณภูมิคนเดียว..แบบว่า อย่างเปลี่ยว ตอนตี 4 เงียบมากกก สิ่งที่ยากที่สุดของวันนี้ก็คือ เราต้องโทรศัพท์ไปบอกที่โรงเรียนภาษา ว่าเราจะมาถึงสถานีกี่โมง เราชื่ออะไร แต่คือมันยากตรงที่ว่ามันเป็นโทรศัพท์ไง (ภาษาญี่ปุ่นด้วยมั้ง) ก็กดดันเบาๆ
พอถึงสนามบินนาริตะ เราก็ไปซื้อตั๋วรถบัสไปสถานีที่ใกล้โรงเรียน หลังจากนั้นก็หยอดตู้โทรไปบอกที่โรงเรียน ก็พูดเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด (จริงๆ เราพูดคำศัพท์ผิดเดียว..เพิ่งนึกได้สองวันต่อมา 55) หลังจากนั้นก็ขึ้นรถบัสมาลงป้ายที่กำหนด ก็มีรถจากทางโรงเรียนมารับไปโรงเรียน เพื่อทำเรื่องเอกสารต่างๆ

ก็อยากบอกว่า ทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย TT ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้เหมือนกัน คือคนที่เรียนภาษาด้วยตัวเองคงเข้าใจนะ มันเป็นโมเม้นต์ที่แบบเฮ้ย! คนญี่ปุ่นเขาฟังเรารู้เรื่องว่ะ (อารมณ์เดียวกับตอนพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งตัวเป็นๆ ครั้งแรกๆ แบบ เขาฟังเราออก!) หลังจากนั้นเขาก็พาเราไปส่งที่บ้านพัก (โฮมสเตย์) บอกทางไปด้วยว่า เดี๋ยวมาเองต้องมาอย่างนี้ๆ นะ…คิดว่าเราจำได้ป่ะ ก็บอกได้เลยว่าไม่

พอมาถึงบ้าน เหมือนโฮสแม่ (ต่อจากนี้จะเรียกว่าโอก้าซัง) ก็รออยู่แล้ว ก็พูดคุยนิดหน่อยเป็นพิธี เสร็จแล้วเขาก็เอาชีทที่เป็นแบบกฎระเบียบในบ้าน เช่นว่ากินข้าวกี่โมง ใครทำอะไรกี่โมง ไปอะไรที่แบบ เฮ้ย! จะรอดไหมอ่ะ คือสมัยไปอยู่บ้านคนอื่น (คนไทย) ก็อารมณ์แบบ อยากทำอะไรก็ทำ หิวก็กิน อะไรอย่างนี้ 55 ก็แอบคิดอยู่ว่าชีวิตจะรอดไหมเนี่ย ทำไม อะไรมันเป็นระเบียบแบบนี้….

10427683_647778378631038_2302903701699462414_n

วันที่สองและสาม

10430443_637118093030400_3858462828370223901_n

 

โฮสก็พาไปเที่ยวค่ะ วันที่สอง (วันเสาร์) ก็พาไปเดินสำรวจสถานีแถวโรงเรียนว่ามีอะไรบ้าง ไปคุยทำบัตรอันนี้ให้ด้วย ต่อจากนี้เวลาเราขึ้นรถไฟก็ใช้บัตรแตะๆ แบบคนญี่ปุ่น

 

 

 

 

 

10309647_637672492974960_4027541047043803527_n

 

 

ส่วนวันอาทิตย์ก็พาไปเดินฮาราจุกุ ไปกินเครป >_< อารมณ์แบบเหมือนเป็นแม่ลูกญี่ปุ่นมาก เพราะเราก็เรียกเขาว่าโอก้าซัง ได้พูดญี่ปุ่นตลอด ฟินเวอร์ๆ 55 เหมือนสมองได้ทำงานตลอดเวลา 55

 

 

 

ไปโรงเรียนวันแรก

เป็นอะไรที่ระทึกใจมาก คือแบบ มือถือก็ใช้ไม่ได้ (ไม่ได้ซื้อเบอร์ญี่ปุ่น/ไม่มีไวไฟ) มีไอโฟนที่เป็นได้แค่กล้องถ่ายรูปกับพจนานุกรม แล้วคือเราเป็นคนจำทางไม่ค่อยได้ เดินไปก็แบบถูกปล่าววะ แต่สุดท้ายก็ถึงจนได้ 55
ไปถึงห้องก็แบบ ทุกคนก็มองหน้าเราเบาๆ ว่าแบบเป็นใคร เราก็ไปนั่งหลบมุมริมกำแพง ถามว่าเครียด กลัวไหม ก็ตอบได้เลยว่าไม่ อาจเพราะมีภูมิคุ้มกันมาจากอเมริกา พออาจารย์เข้ามาก็บอกเพื่อนให้เราไปแนะนำตัว ก็แบบยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อ…. (ชื่อเล่น) เป็นคนไทย แต่เป็นนักศึกษาที่อเมริกา ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ (พูดตามมินนะบทที่ 1 นั่นแหละ 55) ทุกคนก็แบบ หะ อะไรนะ อเมริกาหรอ..ก็ดูจะตื่นเต้นระดับหนึ่ง ก็เลยมีเรื่องคุยไปนิดหน่อย

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ชื่อเล่นเราดันเหมือนพี่คนไทยคนหนึ่งในห้อง (บอกแล้วว่าชื่อเล่นเรามันโหล เปลี่ยนมาเป็นพาร์เฟต์นี่แหละ ประหลาดดี 55) เขาก็เลยบอกให้เราหาชื่อใหม่ 55 ก็ Stella ละกัน ไม่เคยคิดว่า จะได้ใช้ Stella ที่นี่ ทุกวันนี้ก็งงๆ กับชื่อตัวเองเหมือนกัน คนไทยในห้องเรียกชื่อเล่นจริงๆ ของเรา ที่เหลือ เรียก Stella แล้วมันเรียกยากด้วยไง

ชีวิตในห้องก็ฮาๆ ชิลๆ ขำๆ ดี ทุกคนก็นิสัยดีด้วยค่ะ ส่วนมากเป็นคนเวียดนาม เราชอบตรงที่ว่าทุกคนเปิดรับว่า Classmate ก็คือเพื่อนจริงๆ ไม่ใช่แค่ Classmate ก็เลยคุยเล่นได้ อาจเพราะเป็นคนเวียดนามส่วนมาก วัฒนธรรมเขาใกล้ๆ กับคนไทยด้วย ก็เลยชิลๆ ค่ะ แถมพี่คนไทยที่นั่งหน้าเรา มาเรียนทีนี่ปีกว่าแล้วก็แบบ เฮ้ย! ถ้าเราจะชอบอะไรเหมือนกันๆ แบบนี้ ตั้งแต่คณะที่เขาเรียน (คณะเดียวกัน) หนังสือที่อ่าน อยากไปโครงการ อยากไปเที่ยวที่เดียวกัน ชอบผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกัน (ไม่ใช่จุงกิ ไม่ต้องตามหานะคะ แค่ชอบแบบเป็นแรงบันดาลใจ) ก็เลยมีเรื่องคุยตลอดเลย

10426690_648472718561604_8223255897309243337_n

หนังสือค่ะ เล่มสีน้ำเงินเข้มดีนะ เราชอบ ถ้าจำได้หมดผ่านชัวร์ แต่จนถึงวันนี้ก็ยังจำไม่ได้หมด 55

  • การเรียน

คลาสเรียนปกติ ก็จะใช้หนังสือเรียนทั่วๆ ไป เช่น คอร์สระดับต้นก็มินนะ + ชีทเสริม ส่วนคอร์สเราก็ใช้ New approach ค่ะ กับชีทเสริมของอาจารย์เช่นคันจิ แกรมม่า คำศัพท์ฯลฯ แต่จริงๆ เราบอกให้ก็ได้ว่าพวกชีทที่อาจารย์ใช้ก็ถ่ายมาจากหนังสือที่มีขายอยู่ทั่วไปนั่นแหละ ฉะนั้นใครที่เรียนญี่ปุ่นเองก็ไปหาหนังสือมาอ่าน ท่องเอาเองก็ได้ค่ะ เราเคยเรียนคอร์สพวกติววัดระดับฯ ที่ไทย ชีทที่ใช้ก็ถ่ายมาจากหนังสือที่วางขายนี่แหละค่ะ

คลาสเราเรียนจะแบ่งเป็น 4 ช่วง ได้แก่ คันจิแกรมม่า / หนังสือ New approach / การฟัง / การอ่าน ประมาณนี้

  • เพื่อน

เป็นอะไรที่สนุกมาก แล้วก็ขำมาก คือทุกคนแบบนิสัยดี ขำๆ ไม่ได้เยอะ แรง ซึ่งจริงๆ เราชอบคนแบบนี้มากๆ เวลาเจอพวกคนเยอะ แล้วปวดหัว 55 คือเราก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ละคนจะแบบ เฮ้ย เราน่ารัก คาวาอี ฯลฯ คือตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจออะไรแบบนี้ ส่วนมากก็แค่เออ น่ารักจบ แต่นีคือพูดทุกวัน (หรือเราจะถือว่าน่ารักสำหรับคนเวียดนาม 55) คือแบบรู้สึกดี 55 แล้วยิ่งพอคนรู้ว่าเราเรียนที่เมกา ก็ยิ่งแบบตื่นเต้นกันใหญ่ แบบขำอ่ะ 55

โฮมสเตย์

ด้วยความที่พื้นฐาน เราเป็นคนที่ค่อนข้างแปลก และเข้าใจยากมากกกกกกก

เราก็กลัวนะ ว่าโฮสจะโอเคไหม คือถ้าระดับเพื่อนที่โรงเรียนงงๆ กับเราก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าโอก้าซังงงกับเราด้วยก็ไม่ดีมั้ง ก็เป็นจุดที่ต้องจูนกันให้ติด อาจเพราะเรากรุ๊ปเลือดเดียวกันด้วย เลยจูนกันติดง่าย 55 (เกี่ยวไหมเนี่ย) แล้วพื้นฐานเราเป็นคนขี้เกรงใจและไม่กล้าพูดขัดความเห็นคนอื่น

10325707_644103245665218_1191296516502245811_n

ทางเดินกลับบ้านค่ะ ผ่านร้านดอกไม้ทุกวัน สดชื่นฟุดฟิด

แต่จริงๆ ก็ไม่ค่อยมีอะไรค่ะ ก็ใช้ชีวิตปกติ อย่างชีวิตของเราตลอด 5 อาทิตย์ที่ผ่านมาก็จะเป็นแบบนี้

6.30-7.00 ตื่นนอน อ่านหนังสือ (ถ้ามีเวลา) แต่งตัว แต่งหน้า ไม่อาบน้ำนะ….
7.30 อาหารเช้า กินพร้อมกับโอก้าซัง “อิตาดาคิมัส~~” ระหว่างกิน โอก้าซังก็จะชวนคุยไปเรื่อยๆ คือเขาเป็นคนคุยเก่งอ่ะค่ะ
8.00 “อิเตคิมัส~” ออกจากบ้านไปโรงเรียนค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที (เดินไปสถานีรถไฟ 10 นาที/ นั่งรถไฟไป 10 นาที/ เดือนไปโรงเรียนอีก 15 นาที) แล้วเป็นช่วงคนแน่นของญี่ปุ่นอ่ะค่ะ ก็อัดกันไปทุกเช้าจนชิน…
9.00-12.30 เรียนญี่ปุ่น
13.00 หาอะไรกินมื้อเที่ยง ส่วนมากตามร้าน คอนบินี (ร้านสะดวกซื้อ) เพราะถูกดี ไม่มีตังค์กินตามร้าน TT เสร็จแล้วบางทีก็ไปเดินเล่นในเมือง สิงตามร้านหนังสือ ไปห้องสมุด ไปเดินซื้อของ (ไหนบอกไม่มีเงิน 55) เสร็จแล้วก็กลับบ้านจ้ะ รถไฟไม่แน่นละ แฮปปี้
กลับถึงบ้านก็อ่านหนังสือ เล่นคอม ไปเรื่อยๆ
19.00 กินมื้อเย็น เป็นมื้อที่นาน เพราะกินไปเมาท์ไป ส่วนมากถึงแปดโมงกว่า (ถึงเก้าโมงก็เคย) โฮสเขาก็จะชวนคุยนู่นนี่ topic เปลี่ยนไปทุกวัน 55
กินข้าวเสร็จก็ไปอาบน้ำ บางทีก็อ่านหนังสือ/ เล่นคอมอยู่บนห้อง บางทีก็ลงมาดูทีวี หลังจากนั้นก็เข้านอน

ส่วนวันเสาร์ก็อยู่บ้านทั้งวันค่ะ ….

ส่วนวันอาทิตย์ โฮสเขาก็จะถาม “อยากไปหนายยย” เราก็ไปที่ต่างๆ เคยไปนิกโก้กับโฮส ไปโตเกียว ไปรัฐสภาญี่ปุ่น ไปบ้านพักคนชรา ฯลฯ

10487348_649095471832662_819699662035033051_n10450877_644595525615990_7114302455873593580_n

 

 

 

 

 

 

 

 

ชีวิตเราก็ประมาณนี้ พยายามอ่านหนังสือให้ได้มากที่สุด แต่พิมพ์นี่อยู่ก็เริ่มปลงละค่ะ ได้แค่ไหนก็เท่านั้น ไม่ได้ก็อ่านใหม่อีกรอบ (เพราะเรารู้สึกว่ายังมีสิ่งที่เราไม่รู้เยอะเลย) แล้วก็ไปสอบธันวาที่บอสตัน ยังไงก็มีความรู้สึกว่าปีนี้จะผ่านแล้วแหละ  ^_^ (อยู่ที่ว่ารอบนี้ หรือว่ารอบธันวา 55)

ไปอิซากะยะ (ร้านเหล้า) ครั้งแรก

เอาง่ายๆ คือไปกินเหล้าครั้งแรกของเราค่ะ เพราะ 20 พอดี 55

เอาจริงๆ ก็เมาค่ะ เราก็อยากลองด้วยแหละ เป็นร้านแบบบุพเฟต์ กินดื่มได้ภายในสามชั่วโมง…. คือไปเลี้ยงเนื่องในโอกาสเพื่อนคนหนึ่งจะกลับประเทศ เขาก็ถือโอกาสเลี้ยงเราไปด้วย 55 เพราะเราเรียนวันสุดท้ายมันใกล้วันสอบ ไปกินเหล้าไม่ได้ ร้านข้างในก็ชิลๆ ดี เรากินอะไรก็ไม่รู้ 55 จะได้ว่าเป็นแก้วใหญ่ๆ เท่าแก้วเบียร์ เป็นค็อกเทล อร่อย หวานค่ะ กินหมดด้วยค่ะ กินเสร็จก็ง่วงๆ จะหลับ

สรุปคือ ใครคิดจะพาเราไปมอมเหล้า ให้เผลอหลุดทำอะไรเพี้ยนๆ หรือพูดอะไรแปลกๆ ก็เลิกคิดไปได้เลยนะ เพราะเรารู้ตัวแล้วว่าถ้าเราเมานี่คือหลบไปนั่งหลบมุม พิงกำแพง 55 ตอนนั่งรถไฟกลับบ้านก็เลยไป 4 สถานี 55 ต้องนั่งรอรถไฟย้อนกลับมา แทบจะกลับอีกรอบคารถไฟ

ให้กินอีกก็คง ไม่กินแล้วค่ะ ปวดหัว (เบาๆ) อ้วนด้วย เพราะหวานมากก

ไปบ้านพักคนชราญี่ปุ่น

โฮสย่า อาศัยอยู่ที่บ้านพักคนชราค่ะ

โอก้าซัง เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนท่านอยู่ต่างจังหวัดคนเดียวแต่หลังจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่แถวๆ บ้านของท่าน ก็เลยตัดสินใจให้มาอยู่ที่บ้านพักคนชราแทน

บรรยากาศบ้านพักที่นี่ สวยค่ะ อยู่นอกเมือง มีสวน มีอุปกรณ์ครบครัน แต่ก็ดูเหงาๆ เงียบๆ บรรยากาศคล้ายๆ โรงพยาบาลของญี่ปุ่นค่ะ

Time to say “Goodbye”

หลังจากเรียนที่นี่มาห้าอาทิตย์ ก็ถึงเวลาโบกมือจากลา จะว่าไปเวลาก็ผ่านไปเร็วจนน่าใจหาย โดยเฉพาะพอรู้ว่าตอนนี้เราเข้าสู่เดือน 7 แล้ว เท่ากับว่าปี 2014 ผ่านมาแล้วครึ่งหนึ่ง…ใครที่ยังไม่ได้ทำอะไร ก็รีบๆ ทำนะคะ

10527719_656489277759948_367238219970566337_n

 

ในห้องเขาก็มีเขียนเฟรนชิปให้ มีร้องเพลง ถ่ายรูปค่ะ TT
ยังไง ปีหน้าถ้ามาญี่ปุ่นอีก ก็จะแวะมาหาโอก้าซังแล้วก็อาจารย์ที่นี่แน่ๆ ค่ะ ส่วนเพื่อนๆ ป่านนั้นก็คงเรียนจบแยกย้ายกันไปแล้วมั้ง….

ตอนนี้ก็ยังเป็นอารมณ์ใจหายอยู่เบาๆ…. แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ครั้งหนึ่งเลย >_<

พรุ่งนี้ใครสอบ JLPT สู้ๆ นะคะ ^^

Advertisement

Comments are closed.

Create a website or blog at WordPress.com

Up ↑

%d bloggers like this: