ทริปนี้ ทีแรกเราวางแผนว่าจะไปตอนปีใหม่ (2014-2015) แต่หลังจากเจอ หน้าหนาวที่บอสตันเข้าไป เราก็คิดว่าเราไม่น่ารอด ก็เลยขอเลื่อนมาเป็นหน้าร้อนปีนี้แทน ซึ่งเกาหลีหน้าร้อน ก็เป็นอะไรที่ร้อนจริงๆ ค่ะ แดดนี่เปรี๊ยงมากเลย TT
การไปเกาหลีครั้งนี้ ก็เป็นครั้งแรกของเราในเกาหลี และเป็นการเที่ยวต่างประเทศคนเดียวแบบจัดเต็มเลยก็ว่าได้ เพราะเราต้องทำทุกอย่างเองหมด ตั้งวางแผนเที่ยว จองตั๋ว ยันทำงานหาเงินสำหรับเที่ยวเป็นทริปที่ได้มาจากค่าแรงงานพาร์ททามของเราล้วนๆ ไม่ได้ขอพ่อกับแม่เลยสักบาทด้วย 🙂
อาจเพราะทริปนี้เราใช้เงินตัวเอง มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าประสบการณ์ในทริปนี้มีค่าเพิ่มขึ้น
เกาหลีเป็นประเทศที่เราอยากไปมานานแล้ว (ประมาณ 5 ปีที่) แต่เนื่องจากที่บ้านเราไม่มีใครชอบเกาหลีเท่าไหร่ ก็เลยญี่ปุ่นๆ ตลอด เราก็รู้สึกว่าทริปนี้ เราได้ทำหนึ่งความฝันของเราให้เป็นจริง
การเตรียมตัว
นอกจากเงิน สิ่งที่เตรียมได้หลักๆ ก็คือตั๋วเครื่องบินกับที่พัก การหาที่พักเราก็หาอันที่มันถูกๆ แล้วก็รีวิวพอใช้ได้ สิ่งที่เราให้ความสำคัญก็คือ สะอาด เดินทางง่าย และไม่แพง สุดท้ายเราก็ได้ Guest house แถวฮงแด (มหาวิทยาลัยฮงกิก) ซึ่งก็ถูกจริงๆ ค่ะ 7 คืน ประมาณสามพันกว่าบาท เดินทางง่าย เนื่องจากเราจองผ่าน Agoda เพราะรูดบัตรได้ (รูดเป็นดอลล่าห์) เนื่องจากเราไม่อยากถือเงินสดเยอะ แล้วอัตราแลกเปลี่ยนก็ไม่ได้แตกต่างกันเยอะ (ดอลล่าห์กับวอน) อีกอย่างคือเราใช้เงินที่เราทำงานที่อเมริกา ก็เลยอยากจ่ายเป็นดอลล่าห์ แต่สำหรับใครที่บินตรงจากกรุงเทพไปเลย เราแนะนำให้จองตรงกับโรงแรมไปเลยดีกว่าค่ะ
ส่วนตั๋วเครื่องบิน เราบินจากญี่ปุ่นมา ก็ขอไม่พูดถึงเท่าไหร่นะคะ การจองก็ผ่านทางเว็บสายการบิน เราก็ใช้รูดบัตรเป็นดอลล่าห์เหมือนกันค่ะ
ส่วนเรื่องแผนท่องเที่ยว เราไม่ได้เตรียมอะไรไปเลย ซึ่งไม่แนะนำให้ทำตามเท่าไหร่ แต่เนื่องจากจุดประสงค์ของทริปนี้คือ เราอยากไปส่อง ไปดูว่าเกาหลีเป็นยังไง เหมือนที่เราคิดไว้ไหม คนเขาใช้ชีวิตยังไง ไม่ได้เน้นเที่ยวเท่าไหร่ สำหรับไกด์บุ๊ค จริงๆ เราไม่ค่อยแนะนำให้แบกไปเท่าไหร่ ตอนแรกเราก็เอาไปนะ แต่สรุปเราแทบไม่ได้ใช้เลย เราไปเอาจากสนามบิน มีทั้งแผนที่แบ่งเป็นย่านๆ คือดีมากกก ไม่หนักด้วย เราใช้โบชัวร์อันนีตลอดเจ็ดวันในเกาหลีเลย
- เงิน
เราแลกไปทั้งหมดแค่ 350,000 วอน (ประมาณหมื่นกว่าบาท) กับอีก 100 ดอลล่าห์ แต่ใช้จริงๆ แค่ 2 แสนวอนเอง ซึ่งก็คือค่ากิน ค่าเดินทาง (รถไฟ รถบัส) ค่าซื้อของนิดหน่อย ของเรามาเสียไปเยอะตรงค่าส่งของ เนื่องจากเราส่งของไปอเมริกาด้วย (สามหมื่นกว่าวอน) เดี๋ยวเราจะสรุปค่าใช้จ่ายให้ตอนท้ายนะคะ เงินอันนี้เราแลกที่ Superrich ค่ะ ตอนไปแลกอย่าลืมเอาพาสปอร์ตไปด้วยนะ
เวลาถือเงิน เราจะแบ่งไว้ 2 ก้อน ก้อนแรกที่จะใช้ก็เอาไว้ในกระเป๋าตังค์ปกติ ส่วนอีกก้อนที่ยังไม่ได้ใช้ เราจะเก็บไว้ในกระเป๋าเล็กๆ อีกใบ ซึ่งจริงๆ เงินก้อนนี้จะเยอะกว่าในกระเป๋าตังค์อีก แล้วก็เก็บไว้ในกระเป๋าสะพายขึ้นเครื่องเหมือนกัน
- เสื้อผ้า ข้าวของ
เนื่องจากเราไปหน้าร้อน อากาศพอๆ กับประเทศไทย ก็ใส่เสื้อผ้าเหมือนเมืองไทยเลยค่ะ ไม่ได้เตรียมอะไรไปพิเศษมาก ข้าวของ เราก็เตรียมบัตรเครดิตไปเผื่อฉุกเฉิน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใข้ค่ะ
- พาสปอร์ต
เนื่องจากเกาหลี เป็นชาติที่ไม่ต้องใช้วีซ่า หลายคนก็คงเคยได้ยินชื่อตม. เกาหลีที่ว่าโหดสุดๆ เราไปเจอคนไทยที่ทำงานที่เกาหลีมา เขาบอกว่าช่วงนี้เกาหลีจับตาคนไทยเป็นพิเศษเพราะแค่เดือนนี้ก็มีคนไทยหนีเข้าเกาหลีมาเป็นพันคนแล้ว (ไม่รู้จริงหรือเปล่านะ) ซึ่งสำหรับใครที่พาสปอร์ตไม่ค่อยแข็งแรง เคยเดินทางน้อย ฯลฯ ก็อย่าลืมเตรียมเอกสารประกอบเช่น หลักฐานการเงิน การทำงาน ฯลฯ และพาสปอร์ตต้องมีอายุเหลือ 6 เดือนขึ้นไปนะคะ (ของเราตอนเข้านี่เหลือ 7 เดือน….)
ส่วนของเรา เราไม่ได้เตรียมอะไรไปเลยค่ะ มีแค่บัตรนักเรียน (ที่ลืมเอาออก) แต่เนื่องจากเรามีวีซ่าญี่ปุ่นเยอะมาก แล้วก็มีวีซ่าอเมริกาอยู่ด้วยก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร ตอนผ่าน ตม. เราก็สอดแผ่น immigration ไว้หน้าวีซ่าอเมริกาแค่นั้นเอง 55
- เอกสาร
เวลาเดินทาง อย่าลืมมีแฟ้มหนึ่งสำหรับไว้ใส่พวกใบจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก แผนที่ด้วยนะคะ เวลาเขาถาม หรือขอดูเราก็จะได้หยิบออกมาง่ายๆ เลย
Let fly to Korea
เราเลือกบินของเอเชียน่าค่ะ ตอนแรกจะบินโคเรียนแอร์ แต่เอเชียน่าอยู่ๆ มันก็ถูกกว่าโคเรียนแอร์ซะงั้น ก็เลยดีๆ ได้บินเอเชียน่าเลย เราบินจากนาริตะ (โตเกียว) มา อินชอน ใช้เวลา 2 ชั่วโมงค่ะ บนไฟร์ท ก็มีทั้งคนเกาหลีญี่ปุ่น อยู่บนเครื่องก็แบบตื่นเต้นมากอ่ะ เกาหลีในฝัน 55 บนเครื่องแอร์ก็น่ารักค่ะ ยิ้มตลอด นานๆ จะเห็นคนเกาหลียิ้มสักที ตอนแรกเขาก็พูดเกาหลีกับเรา (คงคิดว่าเรามากับอาจุมม่าเกาหลีที่นั่งข้าง) แต่พอเห็นหน้าเรางงๆ ก็เลยเปลี่ยนเป็นพูดญี่ปุ่นแทน 55
ตอนผ่าน Immigration เราก็กลัวเบาๆ นะ อ่านรีวิวมากเยอะ แถมเป็นผู้หญิงคนเดียว อายุกำลังได้ที่ 55 มาเที่ยวครั้งแรกด้วย เขาก็เอาพาสปอร์ตเราไปพลิกๆ ดู พิมพ์ข้อมูลหน่อย แล้วก็แสตมป์ให้เสร็จ ค่อยถามว่า “มาเกาหลีครั้งแรกหรอ?” เราก็บอกว่าใช่ เขาก็ทำหน้าแบบอืม แล้วก็คืนพาสปอร์ตให้ เราก็เอามาเปิดดูว่าเขาให้เราอยู่นานเท่าไหร่ก็ 90 วันตามปกติ ก็แบบ เออโล่ง…. Welcome to Korea ^_^
First Step in Korea
จากสนามบิน เราก็เดินทางเข้าไปในเมืองโซลได้ด้วยรถไฟใต้ดิน ซึ่งก็อยู่ใต้ดินจริงๆ เราก็ถามๆ เจ้าหน้าที่ไปว่าไปยังไง ซึ่งพอเราลงไปใต้ดิน ให้หาร้าน Connivence store เพื่อซื้อบัตร T-money เป็นบัตรเติมเงินสำหรับรถไฟและรถบัสในเกาหลี ราคาประมาณ 3 พันกว่าๆ วอน ซึ่งถ้าใช้เสร็จก็สามารถเอาไปคืนเพื่อแลกเอาเงินคืนได้ จากนั้นก็ไปที่ตู้เติมเงิน เพื่อเติมเงินเข้าบัตร เราเติมไป 3 หมื่นวอน จากนั้นก็นั่งรถไฟเข้าโซล จากอินชอนมาฮงแด ที่พักเราก็เกือบๆ 50 นาทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนรถ ประกาศก็มีเป็นภาษาเกาหลี อังกฤษ จีน และญี่ปุ่น ก็ง่ายดีค่ะ
รถไฟเกาหลีจริงๆ เราว่างงน้อยกว่าญี่ปุ่นนะ 55
Explore Seoul
ต่อจากนี้ จะรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวที่เราได้ไปมานะคะ ซึ่งบอกไว้ก่อนว่าเราเป็นคนที่มีสไตล์การท่องเที่ยวแปลกๆ ไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเท่าไหร่ 🙂 แต่บอกไว้ก่อนว่าการท่องเที่ยวของเรามีอย่างเดียวคือ เราเที่ยวเฉพาะที่ๆ ค่าเข้าฟรีค่ะ 55
- อินซาดง
บางคนบอกว่าเหมือนถนนวัฒนธรรม ฯลฯ แต่เราว่าอารมณ์คล้ายๆ จตุจักร ของที่ขายก็อารมณ์คล้ายๆ กัน 55 แต่่ชอบตรงที่มันมี Art gallery เราก็ได้เดินเข้าไปดูที่หนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดคือ Insa art center ซึ่งเข้าชมฟรี ส่วนตัวก็ชอบนะ เพราะคนไม่แน่น เดินได้ชิลๆ อาจเพราะเราไปตั้งแต่สิบโมงกว่าก็ได้
- พระราชวังเกียงบก + National Folk Museum
จากอินซาดง จะเดิน หรือจะนั่งรถไฟ รถบัสมาก็ได้ แค่หนึ่งสถานีก็ถึงพระราชวังเกียงบกแล้ว เป็นย่านที่นักท่องเที่ยวเยอะมาก ส่วนตัวเราก็แค่เข้าไปส่องๆ รอบนอก แต่เพราะถ้าจะเข้าด้านในต้องเสียเงิน ก็เลยไม่เข้าๆ ด้านหลังพระราชวังจะเป็น National Folk Museum ซึ่งฟรีและดีมากๆ เป็น museum ที่เราชอบที่สุดในโซล คือเขาจะมีห้องหลักๆ อยู่ 3 ห้องคือ History of Korean people, Korean way of life และ Life circle of Korean ซึ่งเราชอบห้องที่สองกับสามมากๆ คือทำให้เราเข้าใจวิถีชีวิตของคนเกาหลีและแนวคิดของเขามากขึ้น เป็นที่ๆ แนะนำค่ะ อากาศเย็นด้วย เหมาะกับการเดินตอนบ่ายๆ ในหน้าร้อน เราก็นั่งเล่นที่นี่ทั้งบ่ายเลย เพราะไม่มีแรงออกไปข้างนอก 55
- National Museum of Korean contemporary history
แค่เดินข้ามถนนมา เราก็จะเจอกับรูปปั้นของกษัตริย์เซจง Museum นี้ก็จะอยู่แถวๆ นั้น ใกล้ๆ กับสถานฑูตอเมริกา เป็นอีกพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจ จะรวบรวมเรื่องราวของเกาหลีตั้งแต่สงครามโลกจนถึงปัจจุบัน เราก็จะได้เห็นว่าเกาหลีเขาพัฒนาขึ้นมากแค่ไหน เดินออกจากที่นี่ไปด้านหลังก็จะมีร้านอาหาร Local มากมาย ซึ่งเหมือนเป็นร้านที่คนทำงานแถวนี้กินกัน ส่วนเมนูในร้านส่วนมากก็มีแต่ภาษาเกาหลีนะ 55
จริงๆ แถวนี้ก็ยังมีที่เที่ยวมากมาย แต่เราก็ได้เที่ยวแค่นี้แหละ ใกล้ๆ ก็มีร้านหนังสือ Kyobo ซึ่งเป็นร้านหนังสือที่ใหญ่มากๆ ของเกาหลี เราก็แวะไปเดินเล่นมาหน่อย
ร้านกาแฟในฮงแด
ในโซลมีร้านกาแฟเยอะมากกกก น่านั่งมากด้วย
- ตลาดเมียงดง ฮงแด นัมแดมุน ทงแดมุม ฯลฯ
เนื่องจากที่พักเราอยู่ตรงข้ามกับฮงแด เราก็เลยจะไปเดินเล่นแถวฮงแดบ่อย จริงๆ เรารู้สึกว่าถ้าจะซื้อพวกเครื่องสำอางแบรนด์ดังๆ อย่าง Etude, Skinfood ฯลฯ ไม่ต้องไปถึง เมียงดงก็ได้ จริงๆ ช็อปที่ไหนก็ได้ เพราะเวลาลดราคา เราก็เห็นมันลดกันหมดทุกที่ อย่างช่วงที่เราไป Missha ลด 50 เปอร์เซนต์ ก็ลดทุกสาขาจริงๆ
ส่วนตัวเราไม่ค่อยชอบเมียงดง เพราะคนเยอะ คนต่างชาติก็เยอะ (เดินก็หลง 55) ส่วนที่อื่นๆ บางทีเราก็รู้สึกว่าของมันก็สำเพ็งป่ะ กลับมาซื้อที่ไทยก็ได้ จะแบกกลับมาจากเกาหลีทำไม
- กังนัม
ย่านกังนัมนี่บอกตามตรงว่าไม่ได้เที่ยวเลยยยยยย ไปเฝ้าหน้า JYP อย่างเดียว ก็ได้เจอนักร้องสมใจนะ แต่ก็เหนื่อยโคตร รอแบบ 2 ชม. ได้เจอที แถมคนที่ได้เจอก็ไม่รู้จะใช่วงที่เรารอหรือปล่า อย่างเราได้เจอ Wondergirl ซอนเย, แทยอน, ชานซอง (หรือเปล่า) นิชคุณด้วยมั้ง, โจตวอน (เห็นแว๊บๆ) 15&, เห็น Beast ที่ไม่รู้ว่าใครเดินผ่าน, ลูน่า (สองรอบ หอพักนางอยู่ตึกตรงข้าม jYP) แล้วก็เด็กฝึก เด็กฝึกทั้งของ JYP ที่เป็นผู้หญิง แบบสวยมากกกกก เด็กฝึกชายของ Cube ก็หล่อมากก ไปนั่งกินข้าง อยู่โต๊ะติดกันเลยยย ฟินมาก เดี๋ยวถ้าเดบิวเมื่อไหร่ จะมาโม้ให้ฟัง ว่าครั้งหนึ่งเคยกินข้าวโต๊ะติดกัน 55
- ยอนเซ & อีฮวา
ไปเดินส่องมา น่าเรียนดีนะ ตลาดหน้ามหาวิทยาลัยก็น่าเรียน น่าอยู่ดี มีร้านกาแฟมากมาย แล้วร้านกาแฟพวกนี้เราชอบมากตรงที่นั่งอ่านหนังสือได้ เห็นคนเกาหลีบางคนก็มานั่งแช่กันหลายชั่วโมง ซึ่งเกือบทุกร้านก็มีฟรีไวไฟ ขนาดดังกิ้นโดนัทยังมีเลย เป็นอะไรที่สวรรค์มากๆ ส่วนค่ากาแฟที่นี่ราคาก็พอๆ กับอเมริกาเลย TT
ถนนหน้ามหาวิทยาลัยยอนเซ กาแฟอร่อยมากก (แพงมาก) บรรยากาศดีมาก คิดถึงมากกกก
- สวนสมุนไพร Herb island
เป็นอะไรที่ ทุกวันนี้ก็ถามตัวเองว่าไปทำไม 55 เป็นการเดินทางที่โคตรเหนื่อย เป็นที่ท่องเที่ยวที่ไม่เห็นมีคนต่างชาติเลย Local มากๆ ต้องนั่งรถไฟไปจนสุดสาย แล้วไปต่อรถบัส (จนสุดสาย) ใช้เวลาเดินทางไป 2 ขั่วโมงครึ่ง TT แต่ก็สวย น่ารักดี พอดีว่าง เลยอยากลองออกต่างจังหวัดดู ใครที่เที่ยวคนเดียว ครั้งแรก พูดเกาหลีไม่ได้ (แบบเรา) ไม่แนะนำให้ไปนะคะ ถึงไปได้ อาจกลับไม่ได้ (รถเมล์มาทุก 2 ชม. ไรงี้) แต่ก็สนุกดี มีลุงมาชวนคุยด้วย เราก็บอกว่า เราไม่รู้ เราไม่ใช่คนเกาหลี พูดเกาหลีไม่ได้ ก็ยังชวนคุยเป็นภาษาเกาอยู่ดี 55
เวลาไปเที่ยวต้องดูดีๆ ว่าที่ไหนปิดวันไหน ซึ่งส่วนมากพวกห้องสมุด museum หอศิลป์ชอบปิดไม่วันจันทร์ก็อังคาร
Eating in Seoul
ตอนแรกเอาไกด์บุ๊คไปนะ แต่แบบไกด์บุ๊คชอบแนะนำร้านแพงๆ แล้วเราไม่มีตังค์ 55 ก็เดินมั่วๆ เลือกร้านที่พอมีคนบ้าง ไม่เงียบเกินไป ซึ่งส่วนมากเราจะกินแต่ร้าน Local มีแต่เมนูเป็นภาษาเกาหลี (ไม่ได้ตั้งใจนะ เข้าไปถึงรู้ว่าไม่มีภาษาอังกฤษ 55)
อาหารที่เรากินหลักๆ ก็บีบิมบับ กิมจิชิเกะ ส่วนมากก็กินสองสิ่งนี้บ่อยมาก มีกินกิมบับด้วยในวันที่ไม่หิวมาก
อาหารข้างทางเกาหลี ส่วนมากก็มีเทมปุระ / ต็อกโบกี/ ซุนแด ราคาก็ประมาณ 2000-3000 วอน
จานนี้คือ “กิมชิจีเกะ” ราคาน่าจะ 5000 วอน เนื่องจากเรากินร้านที่ไม่ได้หรูหรามาก เครื่องเคียงก็จะมีแค่กินจิ กับไอ้อันสีเหลืองๆ ยกเว้นเราสั่งจานหลักเป็นของแห้งๆ เช่นบีบิมบับ (ข้าวยำเกาหลี) ก็จะมีซุปมาให้ด้วย
จานนี้ 2500 วอน “รามยอง”
ร้านอาหารเกาหลี น้ำเปล่า “ฟรี” ค่ะ แต่ต้องเดินไปเติมเอง ก็พยายามมองหาตู้กดน้ำ ก็จะมีแก้วอยู่แถวนั้น พอกินเสร็จก็เดินไปจ่ายเงินหน้าร้านค่ะ
Travel in Seoul
การเดินทางในโซล ง่ายแล้วก็สะดวกดี เราสามารถขึ้นรถบัสต่อรถไฟได้โดยไม่เสียงเงินเพิ่ม ค่าเดินทางก็ประมาณ 1000 วอน (สามสิบบาท) ต่อครั้ง ซึ่งง่ายแล้วก็ถูกดี ^^ รถไฟให้พยายามหาแผนผังการเดินรถให้ได้ ส่วนรถบัสควรอ่านภาษาเกาหลีออกถึงจะขึ้นได้นะ เพราะอย่างเราก็ขึ้นมั่วเหมือนกัน คือเราขี้เกียจเดินจากที่พักไปสถานีรถไฟ ก็เลยเดินไปป้ายรถเมล์ ไปนั่งอ่านการเดินรถของแต่ละสาย ว่าผ่านสถานีรถไฟไหม ถ้าผ่าน เราก็ขึ้นคันนั้น ที่สำคัญคือพยายามจำสถานีบ้านตัวเอง (ที่พักตัวเองให้ได้)
ชอบรถเมล์ที่นี่อย่างตรงที่มาบ่อยมาก ไม่ต้องรอเลย แล้วก็ไม่แน่นด้วย ขึ้นไปก็มีที่นั่งสบายๆ
ส่วนการเดินทาง ใช้บัตร T-money แปะตอนขึ้นแล้วก็ตอนลง
Money in Seoul
ธนบัตรจะมี 1000, 5000,10000 แล้วก็ 50000 วอน พยายามแตก 50000 ออกมาเป็นหมื่นวอนนะคะ เพราะบางทีไปร้านก็เจออาจุมม่าที่แบบ เรายื่นแบงค์ 50000 วอนให้ก็บอกว่าไม่มีทอน (ซื้อของ 5 พัน) … คือแบบแกไม่อยากทอนชั้นนะสิ รู้ทันหรอก เคยทำร้านอาหารมาก่อน 55
ก็นั่งเถียงกับแกไปว่า ชั้นก็ไม่มี มีแค่นี้ (ตอนนั้นเป็นห้าพันวอนใบสุดท้าย) จนลูกค้าคนหนึ่งก็มาให้เราแลกตังค์ให้….พร้อมแอบนินทาเจ้าของร้าน 55
ส่วนเหรียญ เราก็จำไม่ค่อยได้ 55
เวลาเที่ยว อย่าลืมแยกเงินเป็นส่วนๆ นะคะ ส่วนตัวแต่ละวัน เราจะไม่ถือเงินสดเยอะ…กลัวหาย
สรุปทริปนี้ใช้ไปทั้งหมด (สรุปเป็นดอลล่าห์ – บาทนะคะ)
เครื่องบินไปกลับ นาริตะ – โซล = $240 (7500 บาท)
ที่พัก 7 วัน = $110 (3500 บาท)
ค่าอาหารเกือบ 7 วัน = $70 (เราประหยัดนะ) >> 2200 บาท
ค่าเดินทาง
– บัตร T-money $3.5 (100 บาท)
– เติมเงินลงไป $30 (1000 บาท)
ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยว…. ไม่มี
รวม ประมาณ 15000 บาท ยังไม่รวมค่าช็อปปิ้งนะคะ
คำแนะนำสำหรับคนที่จะไปเที่ยวคนเดียว
-
อ่านเกาหลีได้
แค่จำตัวอักษรให้ได้ ชีวิตจะง่ายขึ้นมาก อย่างน้อยก็อ่านป้ายรถเมล์ได้ อ่านเมนูอาหารได้ ไม่อดตายแล้วค่ะ -
ความปลอดภัยสำคัญที่สุด
สำหรับเรา เกาหลีเป็นประเทศที่ปลอดภัยระดับหนึ่ง แต่เพราะเราเป็นผู้หญิง ไปเที่ยวคนเดียว ครั้งแรกด้วยก็ต้องระวังเป็นพิเศษ ระวังตัวเหมือนอยู่กรุงเทพ ชีวิตปลอดภัยแน่นอน 55 -
เปลี่ยนทัศนคติ
หลายคนที่ไม่กล้าเที่ยวคนเดียว เพราะกลัวนู่นนั่นนี่ เป็นผู้หญิงบ้าง ยังเด็กอยู่บ้าง อยากบอกว่า เพราะมาเที่ยวคนเดียว เราก็เลยได้เจอคนใหม่ๆ มากมาย มีผู้หญิงอายุพอๆ กับเรามากมาย (20) ที่มาเที่ยวคนเดียว ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่ากลัวอะไร ยิ่งเกาหลีแล้ว ความรู้สึกของเราคือปลอดภัยกว่ากรุงเทพนะ อย่างในร้านกาแฟ วางโน๊ตบุ้คไว้บนโต๊ะแล้วลุกไปสั่งอาหาร เข้าห้องน้ำ ก็ไม่หาย เวลาเดินที่ๆ คนเยอะๆ ก็ไม่ต้องกอดกระเป๋าแน่นเหมือนที่ไทย
เคยไปเล่าให้คนเกาหลี – ญี่ปุ่นฟัง ว่าที่ไทย เวลาเดินตลาดนัด คนเยอะๆ ต้องกอดกระเป๋าไว้ข้างหน้า เขาทำหน้าตื่นเต้นมากอ่ะ…..
You must be logged in to post a comment.