เรียนญี่ปุ่นด้วยตัวเองจนผ่าน N2 ภายใน 2 ปี

Adobe Spark (18)

ขอกรี๊ดอีกที ผ่าน N2 แล้วค่ะ >_< ดีใจมากกกกก เพราะสอบรอบแรก (ธันว่า’13) ตก ตอนนั้นได้ประมาณ 80/180 ครั้งนี้ (July’ 14) ผ่านด้วยคะแนนร้อยนิดๆ

โพสนี้ก็เลยขอรีวิวและเล่าวิธีการเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเองจนได้ N2 นะคะ


N2 คืออะไร

สำหรับใครที่ยังไม่รู้ N2 คืออะไร เป็นระดับการสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น (JLPT) ซึ่งเป็นที่รู้กันคนเรียนภาษาญี่ปุ่นว่า N2 เป็นที่ต้องการมาก ถ้าใครมีใบผ่าน N2 ก็จะทำให้หางานได้ง่ายขึ้น เงินดีขึ้น ฯลฯ ทำให้มีแรงกระตุ้นมากที่อยากสอบให้ผ่าน 55

ก้าวต่อไปหลังจาก N2 ก็คือ N1 สินะ TT

แนะนำสำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านโพสของเราเกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่น แนะนำให้ไปอ่าน 2 โพสด้านล่างนี้ก่อนค่ะ เพราะเรื่องราวจะเรียงต่อกันประหนึ่งว่าเป็นซีรีย์ แต่ใช้ระยะเวลากว่าจะมาถึงจุดนี้ยาวนานพอสมควร ยิ่งโพสต่อไปเกี่ยวกับ N1 แนะนำให้ปลูกบ้านรอไว้เลย

….คงอีกนาน 55

(how to) เรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเอง 1

Japanese book (beginning-N3)

โพสนี้จะเล่าถึงการเดินทางของเราจาก N3 มา N2 ค่ะ


ก่อนอื่นขอเล่า การเรียนภาษาญี่ปุ่นของเราคร่าวๆ ก่อนนะคะ

  • June 2012 เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น นั่งคัดฮิรางานะ คาตาคานะ เรียนที่สสท intensive course สองคอร์สแรก (ใช้มินนะ 1-2) หลังจากนั้นก็อ่านเอง มั่วเอง
  • July 2013 สอบผ่าน JLPT N3 (จริงๆ คิดหนักมากว่าจะสอง N3 หรือ 2 ดี) แต่พอดีช่วงปิดเทอมต้องไปฝึกงานแบบโหดโคตร ก็เลยไม่มีเวลาเตรียมตัว ก็ตัดใจสอบ N3 ไปแล้วกัน อย่างน้อยก็ได้อะไรมาอุ่นใจ ก็ผ่านด้วยคะแนนร้อยนิดๆ (110 มั้งถ้าจำไม่ผิด…คาบเส้นมา)
  • August 2013 มาอเมริกา เริ่มเรียน ปี 1 ยังคงหาเวลาอ่านญี่ปุ่นบ้างอะไรบ้าง
  • Dec 2013 สอบ JLPT N2 ตกค่ะ (ได้ 81/180 คะแนนผ่านทุกพาร์ทแต่ตกคะแนนรวม)
  • June 2014 เรียนคอร์สภาษาสั้นๆ ที่ญี่ปุ่นประมาณ 1 เดือน อยู่โฮมสเตย์ อ่านญี่ปุ่นทุกวัน
  • July 2014 ผ่าน N2

ถ้านับช่วงเวลาก็จะเห็นว่า เราใช้เวลา 1 ปีเลยจาก N3 มา N2 แต่เอาตรงๆ ก็คือแทบไม่มีเวลาอ่านญี่ปุ่นเลยค่ะ เพราะมาอเมริกา ทั้งปรับตัว ทั้งภาษาอังกฤษที่นี่ (ซึ่งยากมากเพราะเราเรียนจบรร.รัฐบาลธรรมดา ไม่ได้เรียนภาคภาษาอังกฤษด้วย) ทั้งเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ (เช่นอารมณ์หดหู่ เศร้า เหงา ฯลฯ) อาทิตย์นึงอ่านญี่ปุ่นแค่ชั่วโมงเดียวเองมั้งคะ

มาได้อ่านจริงๆ คือช่วง 1 เดือนก่อนสอบ (ตอนที่อยู่ญี่ปุ่น) เรียกได้ว่าช่วง 1 ปีหลังจากผ่าน N3 แค่พยายามคงระดับความรู้ญี่ปุ่นไม่ให้หายไปไหน


สำหรับคนที่อยากรู้ระดับความ Busy ของเราในช่วง 1 ปีจาก N3 มา N2 มามะ จะเล่าให้ฟังแบบละเอียด

  • August 2013 รู้ว่าผ่าน N3 พร้อมๆ กับ ย้ายมาอยู่อเมริกา ช่วงเทอมแรกก็จะให้เวลาตัวเองพฤ ศ ส ตอนเย็นๆ ไปนั่งอ่านญี่ปุ่นบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ เพราะมีเรื่องคิดเยอะ เรื่องเรียนก็เครียดค่ะ เพราะว่าไม่เคยเรียนอินเตอร์มาก่อน ภาษาอังกฤษก็อยู่ในระดับต่ำมาก…..
  • Dec 2013 ก็ได้สอบ N2 ครั้งแรก โคตรยากกก รู้เลยว่าเตรียมตัวไม่พอ แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ Final ด้วย (หลังจากสอบ JLPT 2 อาทิตย์)
    เราไม่ได้เรียนเอกญี่ปุ่นนะ
  • พอประกาศผลก็แบบเฟลเล็กๆ เซ็งหน่อยๆ เมื่อไหร่จะผ่านสักที เพราะจริงๆ เราตั้งเป้าตั้งแต่เริ่มเรียนญี่ปุ่นตอนนู่นแล้วว่าขอผ่าน N2 ก่อนมาเมกา (แต่ก็ทำไม่ได้) ก็เลยว่าเออ ถ้ามาเทอมแรกก็ขอให้ผ่านเลยแล้วกัน …ก็ยังไม่ได้อีก
    เซ็งนะ คืออารมณ์เราไม่ได้ท้อนะ แต่แบบ เบื่อ ขี้เกียจไรงี้ 55
  • ตั้งแต่กุมภาถึงสิ้นเดือนเมษา เราก็เริ่มทำงานพาร์ททามส์แล้ว (ทำอาทิตย์ละ 20 กว่าชม.ค่ะ) ยังไม่รวมเรียนอีก เราเรียน 17 เครดิตนะ เวลาจะอ่านก็ไม่ค่อยมี แต่ในกระเป๋าเราจะมีชีทคำศัพท์ญี่ปุ่น เป็นชีทซีร็อทจากหนังสือ N2 ที่เราโหลดมาฟรีจากเน็ต ไปทำงาน นั่งรถก็ติดกระเป๋าไว้ตลอด ถ้าร้านไม่ busy ก็แอบอู้มายืนอ่าน อ่านมันตรงเคาร์เตอร์เสิร์ฟลูกค้านั่นแหละค่ะ (โชคดีเจ้านายไม่ค่อยเข้าร้าน)
    ที่ขำคือ ปกติร้านเราไม่ต้องให้ทิปเพราะเป็นร้านฟู้ดคอร์ท แต่วันนึงมีลูกค้าญี่ปุ่นมาสั่ง (ซึ่งปกติคนญี่ปุ่นไม่ให้ทิปอยู่แล้ว) แต่เขาเหลือบมาเห็นชีทเรา 55 เขาก็เลยให้ทิป…สัมผัสได้ตั้งแต่วันนั้นว่าภาษาญี่ปุ่นอาจเป็นตัวทำเงินให้กับเราในอนาคตแน่ๆ 55
  • พฤษภา หมดเวลาไปกับการเที่ยว การจองตั๋ว ทะเลาะกับแม่ (อันนี้ไม่เกี่ยว) ว่าจะอ่านญี่ปุ่นก็ไม่ได้อ่าน 55 ชีวิตไร้ค่ามาก 55 พยายามอ่านอยู่นะ แต่ขี้เกียจมาก
  • สิ้นเดือน พ.ค. ถึงสอบ JLPT ช่วงนี้แหละค่ะ จุดเปลี่ยน คืออ่านแบบเอาเป็นเอาตาย (เว่อร์) คือจริงจังมาก เพราะถ้าช่วงเวลานี้แหละทำให้เราผ่าน N2 ท่องคำศัพท์แบบโหดมาก
    อย่าถามว่าอ่านวันละกี่ชม.เพราะจำไม่ได้ ตอนเช้านั่งรถไฟไปเรียนก็มีบัตรคำติดกระเป๋า ก็เอาขึ้นมาท่อง คนญี่ปุ่นก็เหล่ๆ มองนะ ตอนแรกก็แอบเขิน แต่ก็ช่างมันเถอะ

ถามว่าในใจตอนนั้นคิดอะไร คิดว่า จะผ่านใน 1 เดือน หรือจะต้องนั่งอ่าน นั่งท่องวนเวียนแบบนี้ไปอีกเป็นปี

เพราะถ้าผ่านเทอมนี้ไป เราก็อาจไม่มีเวลามาอ่านญี่ปุ่นแล้วก็ได้ งานก็ต้องทำ ไหนจะเรียน ฝึกงานอีก

พอสอบผ่านแล้ว ตอนนี้ความรู้ในหัวเรามี N3 อย่างเดียว N2 ลืมหมด คือข้อเสียค่ะ เพราะว่าวิธีของเราเป็นการใช้ความจำระยะสั้น (บัตรคำ ท่องจำ ฯลฯ) ตอนนี้พยายามรื้อฟื้นอยู่ TT


อยากผ่าน N2 ต้องไปเรียนถึงญี่ปุ่นไหม

เอาตรงๆ คือไม่จำเป็น การมาเรียนที่ญี่ปุ่นก็มีข้อดีข้อเสียเหมือนกัน

ข้อดี คือ เราได้ฝึกทักษะพูดเยอะมากกก คือ เราเป็นคนที่พูดไม่ค่อยได้ (ก็เรียนเองอ่ะ) มาที่นี่ก็ทำให้เราพูดได้ ถามทางรู้เรื่อง สั่งอาหารหรือแม้แต่คุยกะ Custom (ศุลกากรที่สนามบิน) ได้ 55  อีกอย่างที่ได้ก็คือมี Motivation มากขึ้น เพราะรู้สึกว่ายังมีอีกหลายอย่างรอบตัวที่เราไม่รู้ (อ่านหนังสือพิมพ์ไม่ออก ฟังข่าวไม่รู้เรื่อง) เรื่องคำศัพท์ก็ได้บ้าง (นิดเดียวนะ) ถ้าอยู่กับ Homestay หรือมีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่น แล้วพูดญี่ปุ่นด้วยกัน

แต่ประเด็นคือใน JLPT มันไม่มีพาร์ทพูดไง…

ข้อเสีย คนส่วนมากมาเรียนก็คือมาโรงเรียนสอนภาษา ข้อเสียก็คงเป็นการเดินทาง ทุกวัน เราเสียเวลาเดินทางไป-กลับวันละ 2 ชม. แถมในห้องเรียนบางทีก็ช้า และเป็นทักษะที่ไม่จำเป็น (เช่นเขียนคันจิ เพราะไม่มีในข้อสอบ แต่ก็ควรฝึกไว้นะคะ 55) แบบฝึกที่อาจารย์เอามาให้ทำ ก็มาจากหนังสือที่มีขายทั้งนั้นค่ะ ยิ่งใครที่มาแล้วต้องทำงานส่งตัวเอง ยิ่งเสียเวลาเข้าไปใหญ่


อยากผ่าน N2 ต้องทำยังไงดี

ท่องค่ะ ศัพท์ คันจิมันมีอยู่แล้ว ท่องอย่างเดียว เราใช้วิธีเดียวกับตอนสอบ SAT (ข้อสอบเข้าเรียนม. ในอเมริกา) คือ ใช้บัตรคำศัพท์แล้วก็ท่อง ความจริง เราไม่ค่อยชอบใช้บัตรคำ เพราะมันเป็น short term memory มันจำได้ไม่นาน แล้วก็ต้องใช้พลังมาก ช่วงนั้น 1 เดือนก่อนสอบ กัดฟันอ่าน ใส่สุดพลังไปเลย เพราะอยากผ่านแล้ว

ข้างบนเป็นวิธีของเรา แต่จริงๆ ถ้าพูดตามหลักให้ได้ผลก็น่าจะแบบมีโอกาสได้ฝึกใช้ ได้สัมผัสบ่อยๆ อ่านหนังสือ ดูทีวี ฯลฯ

แต่ของเราเงื่อนไขชีวิตมันไม่ได้ไง เวลาก็ไม่มี ก็ท่องไปอย่างเดียว ข้อเสียก็คือตอนนี้จำไม่ค่อยได้ บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองมีแต่ใบ ความรู้ไม่ถึงเหมือนกันนะ TT


N2 ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงผ่าน

คำตอบคือขึ้นอยู่กับคน

ถ้าคุณสามารถมีเวลาโฟกัสกับญี่ปุ่นจริงๆ ได้ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ สัก 4-6 ชั่วโมงต่อวัน จันทร์ถึงศุกร์ตลอดเวลา 1 ปี เริ่มจากศูนย์เลย เราว่าสามารถผ่านได้ค่ะ แต่ต้องอ่านจริงๆ นะ ตั้งใจจริงๆ

ง่ายๆ คือถ้าเริ่มจาก 0 แล้วเรียนญี่ปุ่นแบบถูกวิธี ตั้งใจจริงๆ 1 ปีผ่าน N2 ได้ค่ะ


ไม่มีเวลาเลยทำยังไง

พยายามใช้เวลาที่เหลืออยู่ระหว่างวันให้เป็นประโยชน์ค่ะ ใครนั่งเมล์ รถไฟฟ้าไปเรียน ไปทำงานก็เอาบัตรคำ เอาหนังสือไปอ่าน อาจดูเนิร์ดๆ แปลกๆ หน่อยแต่ก็อ่านๆ ไปเหอะค่ะ

ของเราตอนรถไฟแน่นๆ หรือแม้แต่ตอนไม่มีคนเราก็เคยเอาบัตรคำออกมาท่อง ยกหนังสือเรียนขึ้นมาอ่านเลย ดูเนิร์ดๆ หน่อย แต่ช่างมันค่ะ ตอนเช้ารถไฟแน่นๆ แบบญี่ปุ่นนี่แหละ เราก็ยกบัตรคำขึ้นมาท่อง ตอนแรกๆ คนก็มองนะ ประมาณว่า ยัยคนนี้ท่องอะไรของมัน สักพักก็เลิกสนใจค่ะ

ใครที่ขับรถไปทำงาน ก็อาจหาลิสต์คำศัพท์ CD อะไรก็ได้มาฟัง ใครที่ติดละคร ก็ดูละครไป ทำแบบฝึกหัดไปด้วยก็ได้ คนที่ทำงานรอลูกค้า แล้วช่วงที่ไม่ busy เจ้านายไม่ว่า ก็เอาชีทขึ้นมาท่อง แอบๆ เอา ถ้าเขาห้าม 55 เพื่ออนาคตของเรา


เทคนิกแต่ละ Part 

ไม่อยากใช้คำว่า เทคนิก เพราะเราว่าเทคนิกไม่มีอยู่จริง ท่องๆ เข้าไป เป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่จะมาเล่าว่าเราฝึกแต่ละพาร์ทยังไง

  • พาร์ทคันจิ พาร์ทนี้ เราค่อนข้างชอบ มันไม่ต้องคิดเยอะ ถ้าจำได้ก็ตอบได้เลย (เป็นพาร์ทที่เราได้คะแนนเยอะสุดค่ะ ถนัดสุดค่ะ เป็นตัวดึงคะแนนของเราเลย)
    วิธีการอ่านก่อนสอบก็คือ เราใช้เว็บ minnanokanji.com แล้วก็เลือกระดับ 2 ก็จะมีลิสต์คันจิมาให้ ก็ท่องวันละแถว (ตอนนั้นท่องวันละ 2 แถว เพราะไม่ทัน) ลอกใส่กระดาษบัตรคำ เวลาท่องต้องจำทั้งเสียงอ่านและความหมายนะคะ
    หลักคือเราใช้กระดาษสีฟ้ากับชมพู กระดาษสีฟ้าด้านหน้าเขียนคันจิ ด้านหลังเขียนความหมาย ส่วนกระดาษสีชมพู ด้านหน้าเขียนคันจิ ด้านหลังเขียนคำอ่าน
    ส่วนคันจิ พวกต่อหน้า เติมหลัง พยายามหาหนังสือมาทำ คำศัพท์มันก็จะวนๆ ค่ะ  ตอนทำแรกๆ เหมือนจะยาก แต่พอทำแล้วก็จำไปเรื่อยๆ จะรู้ว่ามันไม่ได้เป็นคำ random อย่างที่เราคิดไว้ตอนแรก (เดี๋ยวแนะนำหนังสือข้างล่าง)
    …. เราไม่ฝึกเขียนนะคะ เสียเวลา 55 ทุกวันนี้เขียนคันจิได้ประมาณแค่ 100 ตัว TT แต่ถ้าให้พิมพ์พอได้อยู่
  • พาร์ทคำศัพท์ ท่องค่ะ ท่องคำศัพท์ ใช้บัตรคำเหมือนกัน เป็นพาร์ทที่เราช่วยไม่ค่อยได้ เพราะเป็นจุดที่เรามีปัญหาหนักที่สุดเหมือนกัน..ตอนทำข้อสอบเราก็มั่ว เยอะอยู่ 55
  • พาร์ทแกรมม่า ท่องหลักแกรมม่าให้ได้ แล้วก็หาแบบฝึกมาฝึกทำค่ะ เป็นพาร์ทที่ท่องได้อย่างเดียวไม่พอนะ ต้องฝึกทำแบบฝึกบ่อยๆ เป็นพาร์ทที่ควรฝึกทำให้มากๆ พอๆ กับการอ่านและการฟัง
    จริงๆ เราเป็นคนชอบแกรมม่านะ ก็นึกดูสิ แกรมม่ามีอยู่ไม่กี่ร้อยหัวข้อ แต่คำศัพท์เป็นพันๆ เลยนะ แต่เป็นพาร์ทที่เราก็ทำได้ไม่ดีมาก ประมาณว่าจำความหมายได้แต่ประยุกต์ใช้ไม่ถูก บอกแล้วว่าต้องฝึกเยอะๆ
  • พาร์ทการอ่าน เป็นพาร์ทที่โดยปกติ เราจะทำคะแนนได้ดีที่สุด แต่ก็เป็นพาร์ทที่คะแนนเราแกว่งสุดๆ ส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นผลมาจากคันจิ ถ้าโชคดีบทความนั้นเจอคำศัพท์ที่รู้เยอะก็รอด
    คนมาถามเคล็ดลับบ่อยมาก ตอบยากมาก คือเราใช้วิธีทำคล้ายๆ SAT (ข้อสอบภาษาอังกฤษเข้ามหาวิทยาลัยของอเมริกา) อ่ะค่ะ อาจเพราะเรา “ต้อง” อ่านบ่อย โดยเฉพาะ text ที่ไม่ใช่ภาษาไทย เราจะมีเซนส์ในการตีความหมายคำศัพท์ที่ไม่รู้ ค่อนข้างดี  << แต่บางทีเขาก็เรียกว่ามั่ว 55 (เราเป็นคนไม่ชอบเปิดพจนานุกรมค่ะ)
    เทคนิกทำพาร์ทอ่าน
    ถ้าเป็นบทความสั้นๆ คำถามมันจะถามเนื้อความรวมๆ ก็อ่านบทความแล้วตอบเลย เพราะคำถามส่วนมากจะให้สรุปจำใจความ ช้อยข้อไหนถูก คนเขียนต้องการสื่ออะไร
    แต่ถ้าเป็นบทความยาวๆ ก็อ่านคำถามก่อน จากนั้นอ่านเนื้อเรื่อง คิดคำตอบไว้ในใจ แล้วก็มองตัวเลือก เลือกเลย พาร์ทที่เราบอกว่าถนัดสุด แต่ก็ไม่ค่อยชอบทำนะ มันเหนื่อย 55
    เทคนิกการเลือกตัวเลือก
    คือถ้าแปลไม่ออก กามั่วไงดี ตัดช้อยเล่นก่อน ส่วนมากถ้าตัวเลือกไหนมีคำซ้ำๆ กับในบทความเยอะๆ มักไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง (เขาเอามาเป็นตัวลวง) ถ้าเนื้อหาอันไหน ไม่มีพูดไว้เลยในบทความก็ผิดอีกเช่นกัน (เพราะเขาให้อ่านจับใจความ ไม่ได้ถามความรู้ของเรา)
    พาร์ทการอ่านขึ้นกับดวงเยอะเหมือนกัน เราเคยทำ pre-test ได้ 40 กว่า สอบจริงเหลือ 20 กว่าก็มี อย่าไปฝากความหวังที่พาร์ทนี้มาก…
    ปัญหาที่คนส่วนมากเจอคือเรื่องเวลา ฉะนั้นตอนฝึกทำการอ่านต้องจับเวลาด้วยค่ะ แล้วจริงๆ เวลาตอนฝึกทำให้ใช้แค่ 70-80 เปอร์เซนต์เท่านั้น เช่นถ้าพาร์ทนี้สอบจริงให้ใช้ 120 นาที เวลาเราฝึกทำก็ทำให้ทันภายใน 90 นาทีเป็นต้น
    คะแนนสอบจริงเราก็ผ่านแบบคาบเส้น (คิดว่า 30 นิดๆ ถ้าจำไม่ผิด) TT
  • พาร์ทฟัง
    ศึกษาแพทเทิร์น ว่าอันนี้เขาจะทำอะไร (เช่นถาม/ ตอบ ถามเนื้อหาหลัก) ฝึกทำข้อสอบเก่าให้รู้แนวทาง เปิดพวกทีวีญี่ปุ่น รายการญี่ปุ่นกรอกหูทุกวันก็ช่วยได้บ้าง แล้วก็มี​”สติ สมาธิ ห้ามหลับ” มากๆ

เอาจริงๆ พาร์ทที่คะแนนค่อนข้างคงที่ ไม่ขึ้นกับดวงก็คือ พาร์ทคันจิคำศัพท์แกรมม่า ถ้าท่องได้มากขึ้น คะแนนก็จะมากขึ้น เป็นพาร์ทที่เราเกลียดที่สุด (คือเมื่อก่อนเป็นพาร์ทที่เราได้คะแนนน้อยสุด) แต่พอครั้งนี้ที่สอบ เราผ่านก็เพราะพาร์ทนี้เลยค่ะ

คือไม่เคยคิดว่าชีวิตเราจะทำพาร์ทนี้ได้ดีขนาดนี้ (ได้ประมาณ 40/60) แสดงว่าการท่องช่วยได้จริงๆ 55 ส่วนการอ่าน ค่อนข้างผูกติดกับดวงสูง ส่วนการฟังก็สมาธิๆๆๆ


วิธีการทำข้อสอบสไตล์พาร์เฟต์ (แบบเรา)

N2 จะแบ่งข้อสอบเป็น 2 ส่วนคือ คำศัพท์ แกรมม่า คันจิ การอ่านอยู่รวมกัน 120 นาที กับการฟัง

สำหรับ set แรก ส่วนตัวเราจะให้เวลากับคำศัพท์ แกรมม่า คันจิ แค่ 30 นาที จะได้มีเวลากับการอ่านเยอะๆ ฉะนั้นเราจะเหลือเวลาพาร์ทการอ่าน 90 นาทีทำให้เราทำเสร็จทันพอดีๆ (หรือไม่ทันก็ได้ทำ ได้เลือกคำตอบเกือบหมด)

ส่วนตัวเราจะวงในข้อสอบก่อนให้เสร็จ แล้วค่อยฝนรอบเดียว กันผิดพลาด แล้วก็ค่อยตรวจเช็คอีกรอบ

ส่วนการฟัง….สติมา ปัญญาเกิด คะแนนดี 55


ปัญหาเรื่องเวลา

สิ่งที่คนมีปัญหาเกี่ยวกับการสอบคือเรื่องเวลา บางคนทำไม่ทัน บางคนมองดูนาฬิกาทุก 5 นาทีจนเครียดเอง..วิธีแก้คือให้ฝึกทำเยอะๆ จนเรากะถูกว่าความรู้สึกประมาณนี้ คือเราใช้เวลาไปกี่นาทีแล้ว หรือว่าเราอยู่กับข้อนี้นานเกินไปไหม….


อ่านหนังสือวันละกี่ชั่วโมงถึงผ่าน

เราเป็นคนไม่ค่อยกำหนดเวลาในการอ่าน คือเราเป็นพวกไม่ชอบ timing ไม่ชอบทำตาราง คือทำตามไม่ค่อยได้ 55

แต่เราจะมีแผนว่าวันนี้อ่านถึงหน้านี้ ท่องถึงตรงนี้ แต่ช่วง 1 เดือนก่อนสอบ น่าจะอยู่ที่ 3-4 ชั่วโมงต่อวันนะคะ (แล้วก็เรียนที่โรงเรียนชิลๆ อีก 3-4 ชม.) เสาร์อาทิตย์อ่านบ้าง พักผ่อน << โฮสพาไปเที่ยว 55


แนะนำหนังสือ

หนังสือหลายเล่มก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ค่ะ ที่สำคัญคือต้องท่องให้ได้ อย่างคันจิ / คำศัพท์/ คำศัพท์เนี่ย ซื้อมาหลายเล่มก็ไม่จำเป็นแค่ เล่ม สองเล่มก็เกินพอแล้ว ที่เหลือคือ “ท่องให้ได้”

  • คันจิเราไม่ได้ใช้หนังสือคันจิเลยค่ะ ใช้จาก minnanokanji อย่างเดียว เป็นเว็บที่ดีงาม น่ารัก มีแตกรากคันจิให้ด้วย รักคนทำเว็บนี้ที่สุด ^^ ขอบคุณนะคะ
  • คำศัพท์ 新完全マスター語彙日本語能力試験N2 เล่มนี้ ชอบมากกก รักมาก ก่อนสอบท่องได้ประมาณ 70-80 เปอร์เซนต์ค่ะ (ถึงได้ผ่านมาแบบคะแนนไม่ค่อยดี 55) จริงๆ เราชอบหนังสือเซ็ทนี้นะคะ แนะนำๆ (มีสำหรับการอ่าน การฟัง แกรมม่า คันจิด้วยนะ)03459166_1เตรียมสอบวัดระดับ N2 ของสสท ก็ใช้ด้วยค่ะ ใช้คำศัพท์ แค่ สองเล่มนี้ เนื้อหาซ้ำกันประมาณหนึ่ง แต่เล่มข้างบนมีคำศัพท์เยอะกว่า (แต่ไม่มีความหมายให้ ต้องหาเอาเอง)download
  • ไวทยากรณ์: ไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่น N2 ฉบับสมบูรณ์ ของอาจารย์แบงค์ อธิบายดี เป็นภาษาไทยdownload (2)เราก็ใช้เล่มสีขาว ด้วย เน้นหาแบบฝึกมาทำเยอะๆ ช่วยได้เยอะมากกกก ส่วนมากแกรมม่าที่ผ่าน อาศัยจากที่ท่องได้แล้วก็ได้ทำแบบฝึกจากที่โรงเรียน
  • การอ่านเล่มไหนก็ดีหมดค่ะ เราอ่านไปเรื่อยๆ หลายเล่มมาก ปกติไปนั่งอ่านที่ร้านหนังสือ 55 (ไม่ดีนะ อย่าเอาอย่าง แต่ที่ร้านหนังสือเขามีม้านั่งให้เลยอ่ะ) หรือไปลองดูแถวห้องสมุดญี่ปุ่นก็ได้ค่ะ
    ส่วนตัวชอบเล่มนี้ 新完全マスター読解日本語能力試験N2

03453648_1

  • การฟัง ใช้วิธีเดียวกับการอ่านค่ะ พยายามหามาฟังให้มากที่สุด เท่าที่ทำได้ แต่เราไม่มีตังค์ซื้อหนังสือมากมาย ก็ยืมห้องสมุดมาบ้าง ฯลฯ ตามมีตามเกิด แนะนำเล่มนี้

N2_Listening_3

หนังสือที่เป็น set ที่เราชอบก็คือ

  1. เตรียมสอบวัดระดับ (ที่มีแปลเป็นไทย) ที่เป็นรูปสัตว์ (เวอร์ชั่นญี่ปุ่น) หรือว่าที่เป็นเล่มขาวๆ แปลไทยของสสท N2 จะสีฟ้า แยกเป็นคำศัพท์ คันจิ ฯลฯ เราว่าเล่มที่ดีคือคำศัพท์ คันจิ แล้วก็การฟัง ส่วนการอ่านกับไวทยากรณ์เราว่าง่ายไปนิด เราก็ซื้อแบบแปลไทย ถูกดี 55
    2. 新完全マスター語彙日本語能力試験 เป็นเซ็ทที่เราชอบมาก จริงๆ ชอบมากกว่าข้างบนอีก ดีทุกเล่ม ชอบมาก โดยเฉพาะคำศัพท์ การอ่าน แล้วก็การฟัง (การฟังมีแปลเป็นไทยนะ คือเล่มเตรียมสอบวัดระดับ N2 การฟังนั่นแหละ เขาแปลมาจากชุดนี้ ไม่ใช่ชุดข้างบน) ข้อเสียคือไม่มีแปลเป็นไทย ต้องซื้อจากคิโนะ หรือซื้อจากญี่ปุ่นอย่างเดียว แต่คือดีมาก ชอบมาก

03393487_1
3 日本語能力試験問題集N2読解スピードマスター N2合格 เซ็ทนี้เล่มสีส้มๆ ก็ดี เป็นแบบทดสอบ เราไม่ได้ซื้อ (ไม่มีตังค์แล้ว 55 ไปยืนอ่านเอา แป๊บเดียวจบ)

03328260_14. パターン別徹底ドリル日本語能力試験N2

03280806_1

  1. 合格できる日本語能力試験N2

4-5 เราก็เป็นเซ็ทที่เราท่องพวกคำศัพท์ด้วย ชอบนะๆ มันทำให้เราผ่าน N3 เราก็เดาว่าน่าจะช่วย N2 เช่นเดียวกัน

จริงๆ ก็น่าจะมีหนังสือเล่มอื่นอีก ที่เคยอ่านผ่านตา แต่จำไม่ค่อยได้แล้ว ก็อ่านเยอะนะคะ คิดว่าหนังสือสอบวัดระดับ N2 ที่มีอยู่ในร้านหนังสือญี่ปุ่นทั้งหมด เราได้อ่านแบบจริงจังทุกหน้า น่าจะประมาณ 30-40 เปอร์เซนต์ เคยอ่านผ่านๆ หรือ เคยทำแค่บางหน้า อีก 30- 40 เปอร์เซนต์ ก็ประมาณ 70 กว่าเปอร์เซนต์ของหนังสือในท้องตลาดที่เคยอ่านผ่านตา (อ่านเยอะมาก) ฉะนั้น ใครมีคำถามเกี่ยวกับหนังสือเล่มไหน ถามได้นะคะ อาจจำไม่ค่อยได้ เพราะเป็นคนอ่านหนังสือไม่ดูหน้าปก 55 แต่อาจพอนึกออก ^^


หลักในการอ่านหนังสือ เลือกอ่านยังไง/ อ่านเยอะแค่ไหน

หนังสือ ส่วนมากจะแบ่งเป็น 2 แบบ คือพวกเนื้อหาเยอะๆ กับพวกร่วมแบบฝึก (ยกเว้นพาร์ทอ่านกับฟัง มันมีแต่แบบฝึกอย่างเดียว)

วิธีคือ ต้องทำสองอย่างควบคู่กันไป เล่มที่เป็นเนื้อหาซื้อมาเล่มเดียวพอ (คำศัพท์หนึ่งเล่ม แกรมม่าหนึ่งเล่ม คันจิหนึ่งเล่ม) แล้วก็พยายามเอา 1 เล่มที่มี (หรือ 3 เล่มนั้น 55) ใส่เข้าไปในหัวให้ได้หมด

ส่วนพวกแบบฝึกก็พยายามทำไปเรื่อยๆ ยิ่งเยอะยิ่งดี แล้วก็จดแยก คำศัพท์ที่ไม่รู้ แกรมม่าที่ไม่ได้ ออกมาแล้วก็ท่อง ท่อง ท่อง


พัฒนาการพาร์เฟต์จากรอบธันวา 13 

รอบธันวาคะแนนรวมได้ 81 ค่ะ แยกแต่ละพาร์ทได้ 20 ปลายๆ ทุกพาร์ทเลย TT ไม่ตกแต่ก็ไม่ถึงครึ่ง บางคนก็บอกว่าโชคดีที่ไม่ได้อ่อนพาร์ทไหน แต่โชคร้ายก็คือไม่รู้จะโฟกัสตรงไหน ต้องพัฒนาทุกด้าน แต่มันก็คือการเรียนภาษาอ่ะเนอะ

มารอบนี้ เอาจริงๆ คะแนนแต่ละพาร์ทก็ไม่ได้ขึ้นเท่าไหร่หรอกโดยเฉพาะการฟังกับการอ่าน แทบจะเท่าเดิมเลยด้วยซ้ำ TT (รอบนี้ทั้งสองพาร์ทได้ 30 นิดๆ) แต่พาร์ทที่คะแนนขึ้นจนน่าตกใจก็คือพาร์ทคำศัพท์คันจิแกรมม่า เราขึ้นมา 10 กว่าคะแนนเลย คือน่าตกใจมากกกก ยิ่งถ้าเทียบกับ pretest ที่เคยทำสามอาทิตย์ก่อนสอบ ก็ขึ้นมา 10 คะแนนเลยนะ

ถามว่าขึ้นมาได้ไง ก็ท่องๆๆ อย่างเดียวค่ะ ชีวิตเป็นคนเรียบง่าย ไม่มีเทคนิก ไม่มีอะไรพิสดาร ท่องอย่างเดียว แล้วมันก็เห็นผลจริงๆ นะคะ หลักๆ ที่ท่องก็คือคำศัพท์เล่มน้ำเงิน คันจิทั้งหมดของ N2 และอื่นๆ ที่เคยผ่านตามาแล้วจดเอาไว้


ท้อทำยังไง / ขาดแรงบันดาลใจ / motivate ตัวเองยังไง

ถามตัวเองอย่างเดียว ว่าอยากใช้ชีวิตแบบนี้ (อ่านญี่ปุ่นไปเรื่อย สอบไม่ผ่านแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน) จริงๆ ช่วงหนึ่งเดือนก่อนสอบเป็นช่วงที่เรานอยด์มาก เพราะเราอยากผ่านมาก คือเรารู้สึกว่าเราไม่มีแรงจะอ่านต่อแล้ว (ถ้าไม่ผ่านรอบกรกฎา) ยิ่งกลับมาเรียนที่เมกา ไหนจะทำงาน ฝึกงาน นู่นนั่นนี่อีก เรารู้สึกว่าเราต้องไม่มีเวลาทุ่มเทได้แบบนี้แล้วแน่ๆ ก็เลยพยายามใส่สุดพลังค่ะ

ส่วนตัวที่ผ่าน คิดว่าเป็น timing ทีดีด้วย คือปีหน้า ปีไหนก็ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสแบบนี้ไหม มาเรียนที่ญี่ปุ่น มีเวลาว่างเต็มๆ หนึ่งเดือนอ่านญี่ปุ่น ทุ่มเทกับสิ่งนี้ คือเราอยากเรียนเกาหลีด้วย 55 สัญญากับตัวเองว่าถ้าผ่านญีปุ่นจะเริ่มเรียนเกาหลี (แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เริ่ม 55)

ถามว่า Motivate ตัวเองยังไง ก็คือใช้ความขี้เกียจของตัวเองค่ะ คือ “ขี้เกียจอ่านแล้ว” จะอ่านแค่ 1 เดือนนี้ หรือจะอ่านอีก 6 เดือนจนถึงสิ้นปี แค่นี้ ต่อมขยันก็มาทันที 55

เพิ่มให้อีกนิด สำหรับคนที่อาจได้ Link โพสนี้มาจากข้างนอก ยังไม่ค่อยรู้จักนิสัยเรา เราเป็นพวกดันทุรังประมาณหนึ่งค่ะ อยากได้อะไรก้จะเอาให้ได้ (แต่ชีวิตก็ไม่ค่อยอยากได้อะไรเท่าไหร่ 55) ที่อยากได้ที่สุดในชีวิตก็คงเป็นการมาเรียนเมกา การผ่าน N2 แล้วก็การได้เจอดารา 55


สอบหลายรอบไม่ผ่านสักที

“สอบรอบที่ 4 5 6 แล้ว ไม่ผ่านสักที”

อยากบอกว่า เราเข้าใจ การสอบแต่ละทีมันต้องใช้พลังมาก เตรียมตัวมาก พอไม่ผ่านก็จะทำให้ผิดหวังได้ง่ายๆ

การไปสอบแต่ละครั้ง เราต้องมีการเตรียมตัว ต้องพร้อม “อย่าคิดว่าจะไปสอบเอา เผื่อโชคดี ข้อสอบง่าย มั่วถูก” ฯลฯ คนที่คิดอย่างนี้ ไม่ค่อยผ่านหรอกค่ะ…ยกเว้น(มั่ว) เก่งจริงๆ

เราต้องมีการวาง timeline การสอบและการอ่านหนังสือของเราให้ชัด สมมุติว่าปลายปีนี้จะสอบ N2 ให้ผ่านให้ดี (เป้าหมายต้องมุ่งมั่นนะ) หลังจากนั้นจากวันนี้ถึงวันนั้นก็ต้องวางแผนการอ่านหนังสือค่ะ ว่าจะอ่านยังไง มีช่วงเดือนไหนติดสอบ งานรุม ไปเที่ยว ฯลฯ ก็ตัดออกไป นับเป็นวันเลยก็ได้ว่าเหลือกี่วันแล้วจะทำยังไงให้ไปถึงตรงนั้น

การสอบ Paper ทุกอย่างคือการวัดความรู้ ความรู้ที่มีมาจากการเตรียมตัวเท่านั้น การมีเวลาอ่านเยอะๆ แต่ไร้คุณภาพ เช่นอ่านหนังสือผ่านตา (แต่จับเนื้อไม่ได้) นั่งดูคำศัพท์แต่จำไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ค่ะ

แต่เชื่อเราป่ะ ถ้าจำคันจิได้แบบเป๊ะๆ แม่นๆ 1 พันตัว ทั้งการเขียน(ไม่งงกับตัวที่เขียนใกล้ๆ กัน) เสียงอ่านอ่าน และความหมาย ผ่านแน่ๆ ค่ะ


ถ้าไม่ผ่าน เราจะทำยังไง

ดูเหมือนเราหมดอาลัยตายอยาก กับญี่ปุ่นแล้วใช่ไหมคะ 55 จริงๆ ไม่หรอกค่ะ ไม่ได้เบื่อ ไม่ได้เกลียดอะไร เราจะมีอาการแบบนี้ช่วงใกล้สอบ และหลังสอบเสร็จ เป็นอาการปกติของเรา เดี๋ยวเขียนโพสนี้เสร็จ พรุ่งนี้ก็จะเริ่มแผนการอ่านญี่ปุ่นต่อ (เกาหลีเก็บไว้ก่อน) ถ้าไม่ผ่านเดือน July ที่ผ่านมา เราก็คงอ่านต่อไป สู้ต่อไปค่ะ

สำหรับคนที่ยังไม่ผ่าน สักวันมันก็ผ่านค่ะ แค่ต้องขยันมากขึ้น
สำหรับคนที่อยู่ในวัยเรียน จะบอกว่า คุณยังโชคดี ยังมีเวลามาก มีปิดเทอม มีวันหยุด มี ฯลฯ รีบๆ สอบให้ผ่านก่อนเรียนจบนะคะ เพราะในโลกของการทำงาน เวลามาอ่านสอบนั้นหายากมากกก คารวะ คนเรียนญี่ปุ่นตอนทำงานแล้วสอบผ่าน คือสุดยอดดดด


แผนการต่อจากนี้…

จะสอบ N1 ให้ผ่านก่อนเรียนจบค่ะ ถ้าบอกว่าที่ผ่านมาคือการเดินขึ้นเขา ต่อจากนี้คือปีนหน้าผาแล้วค่ะ TT
เพราะเรียนหนักขึ้น ยังคงทำงานเก็บตังค์ต่อไป 55 ต้องฝึกงานด้วย มันเริ่มมีนู่นนั่นนี่เข้ามามากขึ้น ตอนนี้ก็เริ่มนึกญี่ปุ่นไม่ออกแล้วด้วย TT

จากวันนี้ถึงสิ้นปี 14 ทวน N2 ทั้งหมด คือเรารู้สึกว่าความรู้เรายังไม่โอเค ยังไม่แน่น จะเอาให้แน่นแบบจำในหนังสือ จำคันจิได้ 100 เปอร์เซนต์
จากต้นปีหน้า (15) จนถึงเดือน 12 ปี 2015 คิดว่าจะสอบ N1 ธันวาปีหน้าค่ะ ขอสอบแบบรอบเดียวผ่านเถอะ เพี้ยง!

ส่วนเกาหลี เราเรียนไม่รอดสักที ไม่รู้ทำไม TT

Edit: เปลี่ยนแผนเพราะอ่าน N1 ไม่ทันปีนี้ เลยคิดว่าจะสอบธันวา 2017 ค่ะ ใครจะสอบมาอ่านหนังสือเป็นเพื่อนกันนะคะ สู้ๆ ค่ะ

โพสใหม่มาแล้วววว

How To สอบผ่าน N1 ด้วยตัวเอง

29 thoughts on “เรียนญี่ปุ่นด้วยตัวเองจนผ่าน N2 ภายใน 2 ปี

  1. เป็นบทความที่ดีมาก ๆ ครับ ขอคำแนะนำด้วยนะครับ

  2. พอดีจะสอบตอนปลายปีนี้ N2 ค่ะ
    อยากรู้วิธีจำแกรมม่ามากเลยค่ะ รู้สึกอ่อนเรื่องนี้มากๆ

  3. เวลาผมอ่านหนังสือผมท้อผมชอบเข้ามาอ่านเรื่องราวของพี่ครับ. อ่านเรื่องราวของพี่ทำให้มีกำลังใจสู้

  4. 新完全マスター語彙日本語能力試験N2 โทษนะครับพี่คือตอนนี้ผมได้หนังสือเล่มนี้มาแล้วครับคืออยากจะขอคำแนะนำการแปลเล่มนี้ให้ได้อย่างเร็วมีวิธีใหนบ้างครับ. การแปลของพี่พี่ใช้อะไรแปลค๊าบผม ขอแนวหางหน่อยค๊าบ

    1. ขอบคุณสำหรับข้อมูลหนังสือ และเทคนิคการทำข้อสอบ

  5. หลังจากอ่านข้อความมาทั้งหมด…..ตอนนี้ กำลังใจมาเต็ม July 2016 นี้ ต้องผ่านให้ได้ ขอบคุณครับ ติดตามอยู่น่ะครับ

    1. ขอบคุณค่ะ ตั้งใจๆ. ท่องเยอะๆ อ่านเยอะๆ ผ่านแน่นอนค่ะ

  6. พี่ครับขอคำปรึกษาหน่อยครับคือถ้าจะลองสอบn2เราควรอ่านไวยกรn3ไต่ขึ้นไปหาn2ด้วยหรือป่าว…?หรืออ่านแค่เฉพาะn2อย่างเดียวครับ. แบบใหนดีครับขอคำแนะนำหน่อยค๊าบ

    1. อ่านไปทั้งหมดแหละค่ะ 55 เน้นเฉพาะ N2 อย่างเดียวก็พอค่ะ เพราะส่วนมากหนังสือสอบ N3 มันก็เนื้อหาบางส่วนมากจาก N2 จ้า

  7. หนังสือของอาจารย์แบ้งหาซื้อได้ที่ใหนครับตอนนี้เลิกพิมแล้วหรือยัง..?ผมให้คนที่บ้านหาซื้อให้ไม่ได้ซั๊กที. รบกวนหน่อยครับ

  8. ขอบคุณมากครับตอนนี้ก็กำลังเริ่มดูไวยกรณระดับ2แล้วครับบวกกับจำคันจิในเวปเดียวกับคุณแหล่ะครับขอบคุณมากครับที่แชร์ประสบการดีๆอีกแค่2เดือนเองจะได้หรือไม่ได้ผมก้จะลองเต็มที่กับมันครับ

  9. ตอนนี้ผมมายุญี่ปุนได้สามเดือนแล้วกำลังจะลองสอบn3เรียนเรียนมาก้จะ7เดือนแล้วครับเวลาแค่นี้พอที่จะสอบn3มัยครับผมเรียนจบมินนะโนะแค่2เล่มนะแล้วก้ต่อด้วยเล่มสีฟ้าไวยกรระดับ3เลยไม่รู้จะผ่านมัยมีเทคนิกอะไรดีๆขอคำแนะนำด้วยครับถ้าจะลองn3ต้องดูไวยกร2ไปด้วยมัยครับ

    1. มินนะ4 เล่มเท่ากับ n4 ค่ะ ถ้าไวทยากรณ์ระดับ3จะเท่ากับN4 ค่ะ ตอนเราสอบn3 เราจำอ่านเนื้อหาn2 ไปครึ่งหนึ่งค่ะ
      สู้ๆค่ะ จำได้เยอะก็จะโอกาสสอบผ่านเยอะค่ะ

    2. อยากสอบถามว่าถ้าไม่สอบ N5,N4 สอบ N3 ได้รึเปล่าคะ

  10. โทษนะครับคือผมอยากสอบถามเรื่องการจำคันจิอะครับ. บางตัวมันก้มีทั้งองและขุนให้เรามาจำ. เช่นตัวนี้. 案เสียงอ่านมันเป็นあんแต่เสียงขุนมันไม่มี. แต่มันมีความหมายว่าいけんกับけいがくการแนะนำอ่ะครับ. แล้วพอจำมาถึงตัวนี้易. มันมีทั้ง องและขุน. คำอ่านえきกับいส่วนเสียงขุนเป็นやさしいตัวนี้เสียงขุนมันตรงกับความหมายกับคันจิครับที่งงมากก้คือตัว案คือมันไม่มีเสียงขุนแต่ทำไมความหมายไปเป็นいけんได้แล้วไปดูในじしょมันกับเป็นคันจิคนละตัวคือผมงงระหว่างสองตัวนี้อ่ะครับผมควรจำส่วนใหนบ้างครับถ้าเป็นไปได้ผมขอเฟสบุกคณไว้ได้มัยครับอยากอยากให้สอนวิธีการจำมากครับผมไม่รู้จะจำอะไรบ้างยิ่งจำยิ่ง งง. อคำแนะนำที่ครับ

    1. ตัว 案 คำของมันเช่น 案内 あんない(แนะนำ) 意見(いけん) แปลว่าความเห็น เขียนอย่างงี้ 経学(けいがく) 見学(けんがく)

    2. 案 ตัวของมันความหมาย แนะนำ ก้อได้ หรือ แปลว่า ไอเดีย ก็ได้ ไอเดียซึ่งส่วนใหญ่มาจากความคิดเห็น คงไม่แปลกถ้าเค้าจะให้ความหมายคำญี่ปุ่นว่า (いけん)นายญี่ปุ่นผมมักจะใช้ ในลักษณะที่ให้เราออกความคิดเห็นหรือเสนอไอเดีย เช่น 今年の忘年会は何をやりたいのか案を出してください。(งานเลี้ยงปีใหม่มีนี้อยากจะทำอะไรบ้างลองเสนอความคิด (ไอเดีย)มา

  11. ผมพึ่งสอบเอ็น 3 ไปเมื่อกลางปี ไม่แน่ใจว่าจะผ่าน เพราะมีปัญหาพาร์ทฟังครับ
    ปลายปี เลยคิดว่าอยากจะลุยเอ็น 2 อยู่เลย เลยว่าจะหาหนังสือมาอ่านด้วยตัวเอง
    แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะทำได้ไหม ไม่เคยไปประเทศญี่ปุ่นเลยสักครั้งเดียวด้วยครับ
    การฝึกฟังก็มีแค่ Series อย่างเดียวนี่ละครับ

    ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจ และวิธีการดี ๆนะครับ

  12. ผมเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นสมัย ม.ปลาย พอเรียนจบแล้วไม่ได้แตะอีกเลย ตอนนี้ก็ทำงานแล้ว ตอนนั้นสอบผ่าน N4 (ยังไม่มี N5) ตั้งใจกลับมาเรียนด้วยตัวเองจริงจังอีกครั้งครับ เพราะชอบภาษาญี่ปุ่นม้ากก 555 เข้ามาอ่านแล้วรู้สึกทึ่งมาก ทำให้มีแรงฮึดเลยคับ Arigatou~~

  13. พี่เพรฟขยันมากกกกก พี่เจ๋งสุดๆอ่ะ ปีหน้าขอให้สอบN1 ครั้งเดียวผ่านไปเล้ยยยนะคะเอาใจช่วยพี่ค่ะ

    1. ขอบคุณค่าาา ตอนนี้ไม่ได้แตะญี่ปุ่นมาจะ สองเดือนแล้ว กรี๊ดดดด 55

  14. ขอบคุณนะคะ ที่แชร์ประสบการณ์ดีๆตลอด
    ชอบติดตามโพสต์ของพาร์เพฟ
    อ่านแล้วรู้สึกมีแรงบันดาลใจค่ะ ^^

Comments are closed.

Create a website or blog at WordPress.com

Up ↑