นิสัยคนญี่ปุ่น
เป็นหัวข้อที่กว้างมากกกกกก เขียนเป็นร้อยๆ หัวข้อก็ไม่หมด (แต่คนเขียนหมดแรงก่อน) เลยขอสรุปจากที่เจอนะคะ
- ไม่พูดตรงๆ พูดอ้อมๆ ต้องเดาใจบ้าง
ถ้าเป็นภาษาไทยก็คงเป็นคำว่า “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” ต้องคิดมากๆ เพราะบางทีเขาพูดแค่ว่า “ไม่ค่อย” แต่จริงๆ เขาอาจหมายถึงเกลียดก็ได้ อย่างเช่นเราเป็นคนชอบกินขนมมากกก ช็อกโกแลต ของหวานกินได้หมด เราก็เคยถามโฮสแม่ว่า ชอบทานขนมไหมคะ
โฮสก็ตอบมาว่า “ไม่ค่อยได้ทานบ่อยเท่าไหร่”
แต่ว่า ตั้งแต่เราอยู่มา เราไม่เคยเจอโฮสทานของหวานเลยค่ะ! วันนั้นไปกินเครปที่ฮาราจุกุ ของเรานี่ อย่างหวานเลย ทั้งชาเขียว ถั่วแดง ของโฮสก็เลือกเครปคาวพวกไข่ เบคอน
ฉะนั้น บางทีก็ต้องคิดเผื่อด้วยค่ะ ว่าเขาต้องการอะไร
หรืออย่างเช่นโฮสบางทีก็มาเลียบๆ เคียงๆ ถามว่าวันหยุดนี้ มีแพลนอะไรไหม (ก็มักจะตามมาว่าจะชวนไปไหน หรือเขามีแพลนจะไปไหน ประมาณนี้ค่ะ)
- เป็นขั้นเป็นตอน
ทุกอย่างจะมี Step เป็นระดับ ระเบียบมากกก
อย่างที่บอกว่า อยู่ตอนแรกไม่ชินมาก 7 โมงครึ่งกินข้าวเป๊ะ ทุกอย่างเป๊ะมาก แต่อยู่ๆ ไปก็ชินนะ
หรือการที่คนญี่ปุ่นจะทำอะไร เขาเหมือนจะมีแผน มีแพลนอยู่ในหัวอยู่แล้วอ่ะ เป็นพวกมองอนาคตเป็นขั้นเป็นตอนนะ ในความรู้สึกเรา (แต่พวกไม่มองไกล อยู่ไปวันๆ ก็มีนะ) - รักลูก แต่ก็สอนให้ลูกโต
อันนี้เราว่าเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นมาก เป็นเหมือนประเทศที่มีวัฒนธรรมอยู่ตรงกลางระหว่างเอเชียกับตะวันตกพอดี
อย่างที่หมู่บ้านที่เราอยู่ ก็จะมีโรงเรียนประถม เด็กๆ ก็ไปโรงเรียนกันเองนะ
ตอนเช้าๆ หน้าบ้านเราก็จะมีเด็กๆ มายืนรอเพื่อนกันเต็ม แล้วก็เดินไปโรงเรียนพร้อมๆ กัน ใส่หมวก สะพายเป้ ดูน่ารักกกก
ที่ญี่ปุ่น เขาจะนิยมส่งลูกไปเรียนประถมใกล้ๆ บ้าง แบบว่าเดินไปได้เลย คุณภาพโรงเรียนคงพอๆ กันมั้ง แต่ละหมู่บ้านก็คำนวณจากจำนวนประชากร แล้วก็เปิดโรงเรียน(มั้ง)
ทีนี้ ก็มีคำถามสิ แล้วถ้าเป็นชนบทละ แบบว่าเกิดมาอยู่บ้านกลางทุ่ง ไปโรงเรียนยังไง
โฮสก็บอกว่า ก็ต้องเดินไปสิ เด็กบางคนเดินไปโรงเรียนเกือบชั่วโมงก็มี (เด็กป.1 TT)
โฮสบอกว่าสมัยเขาเด็กๆ ก็เดินไกลเหมือนกัน
ช่วงมัธยมจะเป็นช่วงที่ใช้เงินเยอะมากกก (โฮสบ่นมา 55) ทั้งค่าเทอม ถ้าเรียนโรงเรียนเอกชน (ส่วนมากแข่งขันสูง) แล้วยังค่ากิจกรรม ค่าเรียนพิเศษอีก แบบว่าค่าเรียนพิเศษแพงมากก
พอเข้ามหาวิทยาลัย ค่าเทอมก็แพงอีก โฮสบอกว่าพ่อแม่ญี่ปุ่นส่วนมากจะส่งแค่ค่าเทอม หรือไม่ก็ไม่ส่งเลย เด็กก็ต้องกู้เงินเรียนเอา ส่วนค่าใช้จ่าย เด็กส่วนมากจะทำงานพาร์ททามส์ หารายได้กันเอาเอง
ตรงนี้ จริงๆ เราก็สนับสนุนนะ การที่ให้เด็กทำงาน Part-time คือมันทำให้เราได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก อยากให้เด็กไทยลองทำดูนะ แต่พอเห็นเรื่องเงิน ค่าตอบแทนมันก็ไม่ค่อยคุ้มเนอะ
ส่วนตัวเราอยู่อเมริกา เราก็ทำ ก็ทำให้เราได้รู้อะไรใหม่ๆ มากขึ้น มองโลกในมุมของความเป็นจริงมากขึ้น รู้เบื้องหลังมากขึ้น
บางคนชอบบอกว่าเด็กไทยโลกสวย ส่วนหนึ่งเราว่าก็เพราะเขาไม่มีโอกาสออกไปเจอโลกจริงๆ ด้วยค่ะ
- ความเป็น Japanese
ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรดี เป็นเหมือนภาพในหัวของเราที่มีต่อคนญี่ปุ่น เช่นสุภาพ เรียบร้อย มีมารยาท ขี้เกรงใจ ก็ยังมีอยู่ค่ะ
ส่วนตัวที่เราชอบก็คือ “มารยาท” ของเขา ทำอย่างไรให้ออกมาเป็นมารยาทที่ดี การปฏิเสธ หรือสั่งห้ามคนอย่างไรให้ยังเป็นคนมีมารยาทอยู่ ดูน่ารักๆ
5 พวกนอกรีตก็มีนะ
พูดถึงพวกที่เป็นญี่ปุ่นมากๆ ก็จะมีพวกนอกรีตเหมือนกัน หรือพวกที่ขัดกับอิมเมจของคนไทยที่มีต่อคนญี่ปุ่นเช่น
– นักเรียนโดดเรียน อยากบอกว่าเยอะอยู่นะ
ด้วยความที่เราเลิกเรียนตอนเที่ยงใช่ป่ะ เราก็แบบเฮ้ย ทำไมเด็กนักเรียนมันเดินกันเยอะจัง บางทีก็นั่งรถไฟกลับบ้านซะงั้น บางคนก็นั่งเมาท์ ทาแป้ง ทาปากอยู่ในแม็ค (สาเหตุที่ต้องเป็นแม็ค ไปถามโฮสแม่มาแล้ว เพราะว่าราคาถูก)
- เด็กลอกข้อสอบ
วันหนึ่งโฮสก็มาถามว่าเราเคยลอกข้อสอบ ลอกการบ้านไหม
อยากตอบว่า โฮ้ยยยยย ถามมาได้ เราจบจากไทยมานะคะ 55
ก็ตอบมาว่าก็เคยแหละ ^^
โฮสก็บอกว่าพวกเด็กญี่ปุ่นก็มี เรานี่แบบเห้ย จริงหรอๆๆ แต่ถ้าเป็นการสอบ ญี่ปุ่นจะเคร่งมาก คืออาจารย์ส่องตลอด อย่างเราสอบวัดระดับ ก็มีใบเหลืองใบแดงด้วยนะ แบบว่าโหดไปไหน แต่เขาป้องกันไว้ก่อน ก็เลยทำให้เกิดการลอกน้อยลง - คนแซงคิว
คนญี่ปุ่นต่อแถวเสมอ จะทำอะไรขึ้นรถ เข้าห้องน้ำ ร้านอาหาร แต่เรายังไม่เคยเจอคนแซงคิวเลยนะคะ - Sexual assault
เขาบอกว่าตอนนี้เป็นปัญหาสังคมที่กำลังมาแรง sexual assault หรือ Sexual Violence ไม่ได้หมายรวมแค่พวกข่มขืน หรือแอบจับนู่นนี่ผู้หญิง เท่านั้นค่ะ แต่ยังรวมไปถึงการ “แซว” หรือ การพูดดูถูกผู้หญิงด้วย ส่วนมากก็จะแซวเกี่ยวกับร่างกายของผู้หญิงนั่นแหละ
ที่อเมริกาเอง ก็เป็นปัญหา (ที่บางคนเจอบ่อยมาก) อันดับต้นๆ แต่เราไม่เคยนะคะ ส่วนมากพวกที่โดนคือคนขาวค่ะ คนเอเชียเรารู้สึกว่าพวกโฮมเลสที่อเมริกาไม่ค่อยยุ่ง หรืออาจเพราะหน้าเราไม่ได้ยิ้มแบบคนไทยเมืองยิ้มก็ได้ 55 บางคนเดินขอเงินคนมาเรื่อยๆ เจอเราที่เป็นเอเชีย เงียบและข้ามไปเลยก็มี 55 ก็ดี เพราะว่ารำคาญมาก
เอ๊ะ เล่าเรื่องญี่ปุ่น มาออกอเมริกาได้ไงเนี่ย กลับไปญี่ปุ่นก่อน
คือการถูก sexual assault มันทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกไม่สบายใจมาก ยิ่งผู้หญิงญี่ปุ่น เราเคยถามหลายคนว่าถ้าถูกจับบนรถไฟจะทำยังไง ทุกคนบอกเราว่าคงรู้สึกแย่มาก แต่ก็จะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ตะโกนขอความช่วยเหลือค่ะ
6 คิบิชี่ (きびしい)
เป็นคำที่เราเพิ่งมารู้จักหลังมาญี่ปุ่น
ถ้าให้นิยามนิสัยคนญี่ปุ่น 1 คำ เราเลือกคำนี้เลยค่ะ แบบว่าคิบีชี่
จะเป็นคำที่ได้ยินคนญี่ปุ่นบ่นกันเองบ่อยแบบว่า “โอ๊ย คนญี่ปุ่นคิบีชี่จัง” “ตำรวจที่นี่คีบีชี่มาก” “ครูก็คีบีชี่” “คุณแม่ก็คีบีชี่”
ความหมายของคำนี้ก็คือ เคร่งครัด ประพฤติตามกฎ ค่ะ
ส่วนคำตรงข้าม คือคำว่า やさしい yasashii ที่แปลว่าใจดีนั่นเอง
อ้าว สรุปคนญี่ปุ่นไม่ใช่คนใจดีหรอ (เห็นคนไทยส่วนมากชอบบอกว่าคนญี่ป่นใจดี)
ก็ใจดีนะคะ แต่ถ้าอะไรที่มีกฎ มีสิ่งที่กำหนดไว้อยู่แล้ว เขาก็จะทำตามสิ่งนั้นก่อนค่ะ
แล้วมันยังรวมไปถึงนิสัยของคนญี่ปุ่นหลายๆ อย่าง เช่นความเป็นเจ้าบ้าน (ต้องดูแลแขกต่างประเทศให้ดี) ความรู้สึกเป็นคนนอกคนใน มารยาทการทำงาน เราว่าก็เลยทำให้คนไทยรู้สึกว่าคนญี่ปุ่นใจดีค่ะ
อันนี้ copy มาจากกระทู้ที่เราเขียนเองในพันทิปนะคะ
http://pantip.com/topic/32815854/
ใครว่างฝากเข้าไปดู ไปโหวตให้ด้วยนะ ขอบคุณค่าาาาา