(USA) การ Transfer มหาวิทยาลัย

Adobe Spark

“ต้องจ่ายค่าเทอมเท่ากัน ทำไมไม่จ่ายเพื่อเรียนโรงเรียนที่ดังกว่าและร่ำลือกันว่าดีกว่าล่ะ” 

ไหนๆ ตอนนี้ก็กลายเป็นเด็ก Transfer เต็มตัว ก็เลยมาขอเล่าการ Transfer หรือการเปลี่ยนย้ายมหาวิทยาลัยในอเมริกาให้ฟังกันค่ะ

การรับเด็กใหม่ของมหาวิทยาลัยในระดับป.ตรีของอเมริกาจะแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ 2 กลุ่มคือ

  1. Freshman คือเข้ามาเรียนปี 1 เด็กส่วนมากจะสมัครตอนอยู่ ม.6 จะเป็นกลุ่มหลักๆ เลย
  2. Transfer คือย้ายมาจากมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัย (พร้อมโอนหน่วยกิตมาด้วย) ส่วนมากจะเข้ามาเรียนปี 3 แต่บางที่รับเด็กเข้ามาเริ่มเรียนปี 2 หรือปี 4 ก็มีค่ะ

ทำไมต้อง Transfer

  • อยากเปลี่ยนมหาวิทยาลัย

เบื่อที่เก่า อยากเรียนที่ใหม่ ไม่ชอบ ทะเลาะกับอาจารย์ ฯลฯ อยากไปเรียนมหาวิทยาลัยดังขึ้น อยากย้ายเมือง ไม่ชอบเพื่อน ไม่ชอบเมือง สารพัดเหตุผล 55

  • เรียนที่เก่าไม่ไหว

กรณีนี้ส่วนมากจะเกิดกับพวกที่เรียนป.เอกค่ะ เพราะต้องทำวิจัยแล้วไม่ผ่านสักทีก็เลยย้าย transfer ไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ง่ายขึ้นเพื่อให้จบ

  • เปลี่ยนวิชาเอก (major/ คณะ) แล้วมหาวิทยาลัยเดิมไม่มีหรือมหาวิทยาลัยใหม่ค่อนข้างเฉพาะทางด้านนี้
  • ย้ายมาจาก community college (วิทยาลัย 2 ปี) เพื่อมาเรียนต่ออีก 2 ปีให้จบได้วุฒิป.ตรี

ฯลฯ

เลือกมหาวิทยาลัยยังไงดี

  1. ต้องมีสาขาที่เราอยากเรียน เด็ก Transfer ต้องรู้ตัวแล้วว่าเราอยากเรียน major อะไร ต้องเตรียมตัวลงวิชาพื้นฐานของ Major นั้นมาบ้างแล้ว
  2. เลือกสไตล์มหาวิทยาลัยที่เราชอบ มีการเลือกตั้งแต่เมืองทีชอบ สังคมที่ชอบ ประเภทมหาลัยที่ชอบ (รัฐหรือเอกชน/ ในเมืองหรือชนบท/ ม.เล็กหรือใหญ่) การเลือกขึ้นอยู่กับระดับความเรื่องมากของแต่ละคน ของเรานี่เรื่องมากสุดๆ ในการเลือกสไตล์มหาวิทยาลัย 55 ฯลฯ
  3. เลือกมหาวิทยาลัยที่เข้ากับ Profile ของเรา เด็ก Transfer ส่วนมากสมัครกัน 3-4 ที่ (เราสมัคร 3) ก็แน่นอนว่ามีมหาวิทยาลัยในฝัน มหาวิทยาลัยที่คิดว่าได้ แล้วก็ได้แน่ๆ สำหรับเด็กที่จำเป็นต้องเปลี่ยนมหาวิทยาลัย แต่ถ้าแค่อยากย้ายไปที่ๆ ดีขึ้น สมัครที่ดังๆ ขำๆ ก็สมัครแค่ 1-2 ที่ก็ได้ อันนี้แล้วแต่คน

สำหรับข้อ 3 ให้เข้าไปอ่านใน Transfer admitted student profile ส่วนมากมหาวิทยาลัยเขาจะโพสบอกอยู่แล้วว่าปีที่ผ่านๆ มารับเด็ก Transfer มากี่คน คิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ ฯลฯ แล้วก็อย่าลืมไปส่องเป็นแนวทางว่าพวกนั้นได้เกรดเท่าไหร่ Profile ประมาณไหนกัน จริงๆ มันก็มีโอกาสที่ถึงเราจะได้เกรดสูงๆ แต่ไม่ติด หรือได้เกรดต่ำแต่ติดก็มี แต่ให้ดูไว้เป็นแนวทาง

วิธีการสมัคร

  1. เช็คเรื่อง timeline ดีๆ แต่ละที่ต่างกันมาก อย่างของ UC ส่วนมากจะรับแค่ Fall แต่ deadline คือ 30 พ.ย ของปีก่อนหน้า ต้องวางแผนกันให้ดีๆ พลาดแล้วพลาดเลยนะ
  2. เช็คเอกสาร

แต่ละที่ เอาเอกสารไม่เหมือนกันเลย อย่างเช่น UC เป็นมหาวิทยาลัยที่เอาเอกสารน้อยดี (เราเลยสมัคร) คือแค่กรอก Online application (มี essay ประวัติส่วนตัว ผลการเรียนโดยกรอกเอง ยังไมต้องส่ง transcript) จ่ายตังค์ จบ 55 เราเลยสมัครไป 2 UC เลยแม้ว่าจะมาตัดสินใจทีหลังอีก 2 เดือนต่อมาว่าถ้าได้อีกที่คงไม่ไป 55

แต่บางที่ก็เอาเยอะ อย่าง NYU ตอนแรกว่าจะสมัครแต่เอาเยอะเกินเลยเลิก ก็จะเอาจม.รับรองจากอาจารย์ ผลสอบ SAT/Toefl ใบเกรด จม.จาก advisor ฯลฯ คือเยอะมาก แต่ส่วนมากพวก ม.เอกชนจะเอาเอกสารเยอะกว่ามหาวิทยาลัยรัฐ

วิธีการคัดเด็ก 

ของม. รัฐก่อน

  • เด็กที่ transfer มาจาก community college จาก รัฐนั้น (ไม่จำเป็นต้องเป็น citizen) จะได้เปรียบ เป็น priority ก่อน บางที่อย่างเช่น California จะมี Tag โปรแกรมคือเกรดถึงเท่านี้เป็นการันตีเข้า UC ได้เลย ที่มี Tag program ก็จะเป็น UC davis, riverside ไรงี้ หรืออย่างของ Massashusette ก็มีคล้ายๆ กันคือเกรดถึงเข้าพวก Umass (univeristy of massashusette) ได้เลย
  • อัตราส่วน มหาวิทยาลัยรัฐจะมีอัตราส่วนที่แน่นอนว่าเด็กต่างชาติกี่เปอร์เซนต์ เด็ก in-state (ในรัฐ) เท่าไหร่ เด็กนอกรัฐเท่าไหร่ อันนี้ก็ต้องลุ้นๆ กันเอา ถ้าปีนั้นเด็กต่างชาติโปรไฟล์อลังการมาสมัครเยอะ ก็ลุ้นเยอะหน่อย 55 แต่ส่วนมากก็เหมือนเดิม ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย คะแนนไม่ได้เฟ้อขึ้นๆ ลงๆ เหมือน admission ที่ไทยเท่าไหร่
  • ส่วนมาก ม.รัฐจะเป็น Transfer friendly คือรับเด็ก Transfer เยอะ (อัตราส่วนใบสมัครต่ออัตราที่รับสูง) ในขณะที่ม.เอกชน จะต่ำกว่าหน่อย อย่าง Harvard ไรงี้รับเด็ก Transfer ไม่ถึง 1 เปอร์เซนต์เองมั้ง แต่ก็ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยด้วย ถ้าลดลงมาเป็นเอกชนที่ไมได้อลังการมากก็รับไม่ได้ยากมาก

อย่าง UC berkeley อัตราส่วนรับเด็กปี 1 จะประมาณ 17 เปอร์เซนต์เอง แต่พอเป็น Transfer อัตราส่วนรับขึ้นมาเป็น 23 เปอร์เซนต์เลย โคตร friendly 55

  • เกรดคือหัวใจหลัก Essay กิจกรรม คือหัวใจรอง ถ้าเกรดดีก็พอมีลุ้นว่าจะติด แต่ก็อย่านิงนอนใจ เพราะมันวัดกันหลายอย่าง แต่เน้นๆ คือเกรด ถ้าคิดจะ transfer มีคำแนะนำอันเดียวคือทำเกรดดีๆ

ของม.เอกชนบ้าง

  • มันจะพิจารณาจากหลากหลายกว่า ทั้งเกรด essay กิจกรรม จม. ไรงี้
  • ไม่มี Priority คือทุกคนมีสิทธิ์ได้รับการตอบรับเท่าๆ กัน อัตรส่วนก็ไม่จำเป็นต้องเป๊ะๆ แบบรัฐ

อยาก Transfer ควรเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1

การย้ายมหาวิทยาลัยไม่ได้หมายความว่าเราแย่ เราเรียนไม่ได้ ถูกไล่ออก ถูกไทร์นะคะ ส่วนมากเด็กป.ตรีที่ย้ายมหาวิทยาลัยก็มีแต่ย้ายไปที่ดีขึ้นทั้งนั้น

พอเราบอกว่าเราย้ายมหาวิทยาลัย “เรียนไม่ไหวหรอ””ทำไมอ่ะ (น้ำเสียงเศร้าๆ)” คือแบบ ที่ย้ายได้มันคือข่าวดีนะ 55

ฉะนั้น ใครภาษาอังกฤษไม่เป๊ะ สอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ที่อยากได้ไม่ได้แน่ๆ ตอนม. 6 ก็มีอีกทางเลือกหนึ่งคือตั้งเป้าไว้เลยว่าจะ Transfer มหาวิทยาลัย แต่ก็ต้องวางแผนดีๆ ถ้าแนะนำก็คือเลือกมหาวิทยาลัยในใจไว้ก่อนว่าที่ไหน มันจะพอเป็นแนวทางได้ว่าเราควรเรียนที่ไหน ยังไงกับชีวิตดี

ถ้าอยากเรียน UC เพราะ UC ดังๆ เยอะ แล้วก็ติด Top Ranking หลายที่ อากาศก็ดี (พอๆ อันนี้ออกแนวอวยมหาวิทยาลัยตัวเอง 55) ก็แนะนำให้มาเรียน California Community College (ค่าเทอมถูก) หรือสมัครเข้า UC ที่ Rank ไม่สูงมาก หรือ California state univeristy ก่อนแล้วค่อย Transfer เอาก็ได้

หรืออยากไปที่อื่นก็ลองหาเอา มหาวิทยาลัยดังๆ ของแต่ละรัฐก็มีเยอะแยะค่ะ

เน้นอีกที Community College ไม่ได้แย่ เข้าเรียนแล้วเกรดดี มีโอกาส Transfer เข้ามหาวิทยาลัยรัฐในรัฐนั้นมากกว่าย้ายมาจากมหาวิทยลัยอื่นซะอีก แถมเกรดก็แอบเฟ้อ คือถ้าตั้งใจเรียนได้เกรดดีแน่ ที่สำคัญคือมีวิชาพื้นฐานเกือบทุกตัว (เช่นพื้นฐานเคมี ชีวะ วรรณกรรม ฯลฯ ทำให้ Transfer ง่าย) แล้วก็มักมี ESL สำหรับคนที่ไม่เก่งอังกฤษไว้เรียนปรับพื้นฐานด้วย

สิ่งสำคัญที่พอเข้าไปแล้วต้องตั้งใจก็คือ “เกรด” ค่ะ เกรดสำคัญมากในการ Transfer นะคะ (ย้ำหลายรอบมาก 55)

Me and My Transfer Story

อันนี้เป็นเรื่องราวของเรานะคะ เราเคยเรียนที่ Emerson College เป็นมหาวิทยาลัยเอกชน อยู่บอสตัน คณะนิเทศ ตอนปี 2 ก็แอบมาสมัครมหาวิทยาลัยเอาไว้ไม่บอกใคร ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครสงสัย 55 แล้วก็ไม่คิดว่าจะได้ พอได้ก็เลยเอาก็ได้ เลยย้ายมาแคลิฟอร์เนียร์ดินแดนแห่งแสงแดดและสายลมจ้า

ตั้งใจจะ Transfer ตั้งแต่มาเรียน Emerson เลยหรือเปล่า

เปล่าค่ะ ตั้งใจจะเรียนจนจบ 4 ปีที่ Emerson (ขอย่อว่า em นะ) วางแผนคอร์สเรียน การทำงาน แผนเที่ยว เก็บเงิน ชีวิตปิดเทอมเสร็จสรรพ สรุปไม่ได้ใช้ 55

แต่พอเรียนไปก็เริ่มเกิดคำถามว่าเราชอบสายนี้จริงๆ หรือเปล่า (เรียน Marketing Communication อารมณ์แบบเรียนโฆษณา PR ค่ะ) เพราะถ้าอยู่เมืองไทยชอบด้านนี้มาก แต่พอมาอยู่นี่แล้วไม่ค่อยชอบ อาจเพราะไม่ค่อยเข้าใจพวกสายนิเทศของฝรั่งด้วยมั้งประกอบกับเป็นคนไม่ได้ชอบงานด้าน Creative อยู่แล้วด้วย ก็เลยเริ่มรู้สึกว่าเอ๋……เราควรเรียนอะไรดีนะ ก็ได้ลงเรียนหลายวิชาแต่จิตวิทยาก็กลายเป็นวิชาโปรดแบบงงๆ

ตอนนี้ก็ยังงงๆ ต่อไป 55

เริ่มรู้ตัวว่าจะ Transfer ตั้งแต่ตอนไหน

ตั้งแต่เรียนที่ Em ได้ 2 เดือน 55 เร็วไปป่ะ เปล่าล้อเล่น คือบอกกับตัวเองว่า 1. ถ้าได้เกรดเกิน 3.5 อาจสมัคร ลอง Transfer ดู 2. อยากจะลองสมัคร UC berkeley ดูสักครั้งในชีวิต เพราะเป็นมหาวิทยาลัยในฝันมานานแสนนาน มีโอกาสลองก็อยากลอง รู้สึกพลาดมาก ทำไมไม่สมัครตอนปี 1 (แต่ตอนนั้นคงไม่ติด) เป็นสองเงื่อนไขที่ไม่เกี่ยวกันแต่สุดท้ายก็ได้ทำทั้งคู่

เริ่มจาก UC เนี่ย จะสมัครได้เฉพาะตอนอยู่ปี 2 เท่านั้น เราก็เลยรอไปก่อน (ปีนั้นเลยยังไม่ได้สมัคร) ก็เน้นทำเกรดให้ดี เกรดตอน Transfer ของเราคือ 3.75 ค่ะ แล้วก็ Transfer เข้าคณะที่ง่ายที่สุด 55 คือตั้งใจจะเรียนจิตวิทยาแหละ แต่ตอน Transfer สมัครญี่ปุ่นไป…. อันนี้ไม่แนะนำให้ทำนะคะ แต่ทำเพราะว่าที่นี่เขาไม่ได้รับเข้า Major เขารับเข้าคณะ College of Letter and science แล้วก็ไปเลือกจิตวิทยาซึ่งเป็นวิชาเอกอีกที

พอดีญี่ปุ่นกับจิตวิทยาอยู่คณะเดียวกันค่ะ

ทำไมถึงไม่สมัครจิตวิทยา เพราะถ้าสมัครก็ไม่ได้ค่ะ เนื่องจากวิชาเรียนที่เป็นตัวบังคับของจิตวิทยาเราแทบไม่ได้เรียนเลย เราได้เรียนแค่ 2 ใน 8 ตัว เพราะที่ Em ไม่มี……. แล้ว UC มันดันต้องใช้ application เดียวกันก็เลยกลายเป็นว่าสมัคร Berkeley ด้วย Japanese UC ที่เหลือก็ต้องสมัครเป็น Japanese หมดเลยค่ะ

(แต่ในใจเราคือ ถ้าต้องเรียน Japanese ก็เรียนได้ค่ะ ตอนนี้ก็กำลังตัดสินใจอยู่ อาจ Double Major จิตวิทยากับญี่ปุ่นเลยก็ได้)

เราสมัคร 3 ที่คือ UC Berkeley/ UC Davis และ U of washington ค่ะ… ที่สุดท้ายเขาคงเกลียดเราแล้วมั้ง 55 ปฏิเสธเขามา 2 รอบ แต่มีค.รู้สึกว่าถ้าจะไปเรียนโทหรือเอกก็อาจสมัครไปอีก 55

เลือกมหาวิทยาลัยยังไง

อย่างแรกคือเลือกมหาวิทยาลัยที่สมัครง่ายๆ ขั้นตอนไม่เยอะ เอาเอกสารไม่มาก ไม่เอาโทเฟลยิ่งดี 55

สองคืออากาศ อยากมาอยู่ westcoast ไม่เอาอากาศหนาว ไม่มีหิมะยิ่งดี 55

ตัด UC Berkeley ออกไปเพราะอยากลอง อยากเรียน อยากสมัคร เป็นม.ในฝันมานานแสนนาน (ถ้านับจากวันที่สมัครจนถึงวันที่ตอบรับก็ 5 ปีพอดีค่ะที่รู้จักและอยากเรียนที่นี่) ด้วยความที่ชอบบรรยากาศของ NorCal (ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียร์) เป็นพื้นฐานเพราะอากาศไม่ร้อน ก็เลยลองสมัคร UC davis ด้วยแล้วกัน เพราะ UC berkeley กะ Davis เป็นแค่สองที่ ที่อยู่ทางเหนือค่ะ UC อื่นอยู่ทางใต้

ไม่ได้ดูแค่อากาศอย่างเดียว ก็ดูเรื่องวิชาเรียน Ranking อัตราการรับ ชื่อเสียง บรรยากาศอะไรรวมๆ ด้วย ตอนแรกว่าจะสมัคร UC สัก 2 แห่งเพราะใช้ application เดียวกัน ไหนๆ ก็นั่งเขียน essay แล้ว เอาอีกที่ไว้กันเหนียวก็ได้ ตัดสินใจนานมากว่าจะสมัคร UC San Diego ดีไหม UCLA ดีไหม หรือ Irvine ดี สุดท้ายก็ไม่ได้สมัครค่ะ

ส่วน UW คือสมัครหลังจาก 2 ที่นั้น เริ่มจากพอสมัคร UC เสร็จ (ซึ่งคิดว่าไม่ได้ Berkeley แน่ๆ) เราก็ได้มาอยู่กับน้าที่อยู่ใน Berkeley 55 ตอนปีใหม่ 1 เดือน แล้วคือชอบ West Coast มาก เพราะอากาศดี อาหารเอเชียเยอะ คนเอเชียเยอะ ฯลฯ พอกลับไปก็เลยลองสมัคร U of Washington ด้วยอีกที่

แล้วหลังส่งใบสมัครอีก 1 เดือนต่อมา เราก็ตัดสินใจกับตัวเองว่าถ้าได้ UC Davis หรือ UW คงไม่ไปค่ะ เหตุผลที่คงไม่ไป อ่านข้างล่างนะคะ

ทำไมเราถึง Transfer 

ถามก่อนว่าเสียดายที่เดิมไหม… เสียดายค่ะ มันเสียดายหลายอย่างมาก

  • เมืองบอสตัน อากาศหนาวนรกไปหน่อย แต่ที่เหลือคือดีหมด เมืองสวย ดูดี มีรถไฟ ไปเที่ยวนิวยอร์คง่าย หลับตาเดินก็จำทางได้หมดแล้ว ฯลฯ
  • งาน เราทำงานหาเงินได้แบบจริงจังมากนะ 55 แล้วก็พอมีคนรู้จักบ้าง เวลาหางานก็พอรู้วิธี พอรู้ว่าอ้อ คนนี้ ร้านนี้เป็นยังไง รู้แหล่งหางาน ง่ายๆ คือคงไม่ตกงาน 55
  • เงิน ที่เก่าเราได้ทุนมหาวิทยาลัยปีละหมื่นกว่าเหรียญ คือค่าเทอมถูกลงทันตาเลย ถ้าย้ายเท่ากับเงินตรงนี้หายไป จ่ายค่าเรียนแพงขึ้นอีก ปีละหมื่นกว่าเหรียญ 4 ปีกว่าหลายหมื่นอยู่นะ เก็บไว้ไปซื้อที่ปลูกข้าว ทำนาที่ไทยได้เยอะเลย 55
  • เรียน คือ Emerson เป็นที่ๆ ดีนะ ทุกวันนี้ก็ยังคิดถึง 55 ถ้าจะมาเรียนนิเทศก็ยังแนะนำ Emerson อยู่ ค่อนข้างพอใจกับคุณภาพการศึกษาที่นั่นมาก แล้วที่เสียดายคือเกรดค่ะ คือ 2 ปีที่ผ่านมาเราได้เกรดโอเค ถ้าย้ายที่ใหม่ก็ต้องเริ่มใหม่  นี่ยังไม่นับสารพัดความชั่วร้าย เอ๊ย สิ่งที่รู้เกี่ยวกับมหาวิทยาลัย เช่นเรารู้ว่าจะไปปริ๊นเอกสารฟรีได้ที่ไหน (เราไม่เคยเสียเงินค่าปริ๊นงานหรือถ่ายเอกสารเลย) ใช้ writing center ยังไงให้คุ้ม เอาพวกน้ำตาล เกลือฟรีที่ไหน 55 คือรู้จักทุกซอกทุกมุมของมหาวิทยาลัยดีมากกกก
  • สมบัติ อยู่มาสองปีของก็เยอะ นึกถึงตอนย้ายบ้านสิ น้ำตาจะไหล แพ็คคนเดียว ขนกล่องประมาณ 5 ใบจากห้องไปโบกแท็กซี่ ไปสถานีรถไฟคนเดียวนะคะ TT
  • สุดท้าย ที่เสียดายก็คือความเคยชิน ชีวิตใน Emerson ณ บอสตัน มันคือความเคยชินไปแล้ว กลายเป็นเหมือนบ้านของเรา ถึงบอกไงว่ารวมกันทั้งหมดแล้ว เราถึงตัดสินใจหลังจากสมัครอีก 1 เดือนต่อมา (หลังจากเสียเงินไปร้อยกว่าเหรียญ55) ว่าถ้าไม่ใช่ UCB ก็จะไม่ไป

—————-แต่สุดท้ายก็ได้ ก็เลยมาอยู่นี่ ——————–

เหตุผลที่ Transfer มันก็มีอะไรไม่มากหรอกสำหรับเรา

  1. ย้ายไปมหาวิทยาลัยที่ Rank สูงขึ้น คือตั้งใจจะเรียนจิตวิทยาไง แต่เอาจริงๆ มันเป็นคณะที่แอบเฟ้อมากในอเมริกา คนเรียนเยอะมาก เราก็กลัวไม่กล้าเรียน (คือกลัวหางานทำไม่ได้ แต่พอเป็น UCB แล้วก็ช่างมันเหอะ 55) ฉะนั้น ในความคิดเราก็คือต้องจบจากมหาวิทยาลัยดังๆ น่าจะปลอดภัยได้ระดับหนึ่ง
  2. อากาศ ถ้าจิ้มแผนที่จะเห็นเลยว่าเราเลือกสมัครมาแถวๆ เดียวกันหมดเลย(ตอนแรกจะเอา U of Oregon ด้วยแต่มันเข้าง่ายไปหน่อยก็เลยไม่เอา) 55 คือไม่ไหวกับอากาศหนาวแล้ว ชีวิตหน้าหนาวทุกคนคิดว่าจะออกไปเล่นหิมะ ถ่ายรูป เล่นสกีไรงี้ป่ะ ? จริงๆ คือเปล่า เรานอนเปิดฮีทอย่างเดียว คือคงไม่อยู่ที่ๆ หนาวๆ แบบหิมะตกอีกแล้ว (ยกเว้น Seattle กับ Portland นะ ขอติดไว้ก่อน 55) ย้ายอีกทีคงลงไป LA แล้วแหละ ต้องการความอบอุ่น เราไม่ไหวกับความหนาวจริงๆ ชีวิตไม่ active เลย 55
  3. มหาวิทยาลัยที่มีคณะจิตวิทยาดีๆ ติด Top20 ของประเทศ (แต่เหมือน davis ไม่ติดมั้ง) แต่สมัครเพราะคิดว่าน่าจะติดแน่ๆ แล้วก็ถ้าได้คงไปเรียน Nutrition ช่วงนั้นเพิ่งลงเรียนวิชานี้ กำลังอิน แล้วแคมปัสบ้านนอกดี มีทุ่งหญ้า วัวควายเต็มไปหมด 55 ถ้าไปเรียนที่นั่นคงเรียน nutrition ไม่ก็พวก Agricultural and Resource Economics แบบนาวินต้าร์ (นาวินต้าร์จบจาก davis นะ)

ชีวิตทุกวันนี้ก็คิดอยู่นะ ถ้าไป Davis คงปลูกผักฟินไปแล้ว รู้สึกมหาวิทยาลัยมีคอกสัตว์ไรงี้เป็นของตัวเองด้วยนะ 55

4 เลือกมหาวิทยาลัยรัฐ อยากได้ชีวิตบ้านๆ down-to-earth มหาวิทยาลัยใหญ่ๆ แคมปัสกว้างๆ (ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าอาจคิดผิดนิดๆ เดินไกลมาก 55) มีกิจกรรม ชมรมเยอะๆ

  1. ก็ใช้ sense ส่วนหนึ่ง เลือกมหาวิทยาลัยที่คิดว่าชอบ คิดว่าน่าจะมีโอกาสติด (ยกเว้น UCB) จริงๆ ม.ในใจเรามันมีอยู่ไม่กี่ที่หรอก (พวก BU/NYU ไม่สมัคร เพราะมันเอาเอกสารเยอะ 55)

ทำไมเขาถึงตอบรับ

สองที่หลังเราค่อนข้าง 50/50 กับ 80/20 ว่าตอบรับแน่ๆ เพราะอย่าง UW เขาเคยรับเราตอนปี 1 แล้ว (ก็น่าจะรับเราตอนนี้มั้ง) แต่ UCB นี่เราก็ยังงงๆ ทุกวันนี้ก็ไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัด ฉะนั้นนี่คือการเดา

ยังจำวันประกาศผลได้ มันบอกว่าจะประกาศ “ตอนเย็นวันศุกร์” แล้วกี่โมงคือเย็น? ก็นั่งสติแตกไปตั้งแต่ตอนบ่าย 2 (เวลาบอสตันเร็วกว่าแคลิฟอร์เนียร์ 3 ชม.) คือเราไม่เป็นอันทำการทำงาน ช่วงนั้นก่อนสอบไฟนอล 2 อาทิตย์ นั่งกดรีเฟรชเพจไปเรื่อยๆ กับนั่งอัพเดทในเว็บบอร์ดไป มีคนรออยู่เยอะ 55

จริงๆ คือเราลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าสมัครไว้ (ไม่ได้ลืมหรอก แต่หลอกตัวเองว่าลืม กลัวเจ็บ 55) ถ้า 1 อาทิตย์ก่อน Davis ไม่ส่งเมลล์ตอบรับมา.. ตอนส่งมานี่เรานึกว่า spam 55 หลังจากนั้นสติแตกมาทั้งอาทิตย์เลยจ้ะ ลุ้น UCB

นั่งกดรีเฟรชไปทั้งอาทิตย์ (เพื่อ?) วันนั้นออกไปฝึกงานวันสุดท้าย ใครมาคุยด้วยก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง นั่งรีเฟรชอย่างเดียวจนฝึกงานเสร็จ สติแตกตั้งแต่หลังเที่ยง พอเพจก็ขึ้นว่า Maintanance ประมาณว่าอัพเดทข้อมูลอยู่…สติแตกกว่าเดิม 55 ติด ไม่ติด ติด ไม่ติด ข้างนอกก็หิมะตกอีก TT

ก็เดินกลับบ้านไปขึ้นรถไฟ ในมือถือก็รีเฟรชไปเรื่อยๆ ตอนแรกจำรหัสผ่านไม่ได้อีก…กรรม

พอถึงสถานี Kenmore หรือ Hynes convention center นี่แหละ มันขึ้นค่ะว่า Congratulation น้ำตาจะไหลจริงๆ (ไม่ได้เว่อร์) คือแบบเห้ย มหาวิทยาลัยในฝัน อยากเข้ามา 5 ปีแล้ว อันนี้เราไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย น้อยคนจะรู้มากกว่า UCB เป็นแบบม.ในฝันมากๆ ของเราที่สุด คืออยากเข้ามา 5 ปี เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกๆ ในอเมริกาที่รู้จักแล้วก็เกิดความรู้สึกว่าอยากเขา (ตอนนั้นเพราะชื่อมันแปลกๆ ดี ที่อื่นเขาจะแบบ ฮาร์วาร์ดยู สแตนฟอร์ดยูไรงี้ ที่นี่ ยู ออฟ แคลิฟอร์เนียร์ มีคำว่าเบิร์กเลย์ด้วย 55 เก๋ๆ ตอนนั้นยังไม่ค่อยรู้เรื่อง) << จริงๆ อ่านว่าเบิร์กลีย์นะ

แล้วพอดีรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่า (ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ใครก็รู้จักเขา โคตรดัง เคยลงไทยรัฐหน้าหนึ่งด้วยมั้ง 55) เป็นคนที่เก่งมากกกก แบบโคตรเก่งอลังการงานสร้างก็เลือกมาเรียนที่นี่ เราก็แบบ มันคงต้องมีอะไรดี 55

เราก็ไม่คิดว่าจะเข้าได้ เพราะเอาจริงๆ เราก็ไม่ใช่คนที่เก่งมาก เกรดเราจริงๆ ก็ต่ำกว่าเกรดเฉลี่ยของเด็กที่เขารับนะ (เกรดเราน่าจะอยู่แถวๆ 40 เปอร์เซนต์ไทด์) เฉลี่ย 25-75 เปอร์เซนต์ไทด์อยู่ที่ 3.64-4.00 มั้ง Essay ก็เขียนเองไม่มีคนมา edit ให้ (แกรมม่าผิดกระจุย) มาอ่านตอนนี้ยังอายตัวเอง 55

ถ้ามาถามคุยกะเราสัก 2 เดือนก่อนหน้านี้จะฟินกว่านี้อีก ตอนนี้เริ่มเฉยๆ แล้วเป็นอารมณ์แบบจะเรียนรอดป่ะเนี่ย ร่อแร่ใกล้ตกเหวมากอ่ะ TT คนที่นี่ขยันเว่อร์ เก่งเว่อร์ ความรู้แน่นปึก ตั้งใจเรียนเว่อร์ เรานี่แบบสายชิลมาไง งงเลยดิ 55

คืนนั้นรีบตอบรับ จ่ายเงินเลย กลัวเขาเปลี่ยนใจ 55 หลังจากนั้นสอบ Final ของนุง em ช่างมัน ไม่อ่านละ 55

กลับมาที่คำถามเดิมคือทำไมเขาถึงรับ ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรับ แอบรู้สึกว่าเขาอาจตัดสินใจผิดที่รับเรา 55 แต่หลักๆก็คือ

  1. เกรด
  2. เรียงความ
  3. เป็นคนไทย (เกี่ยวป่ะ)

และทั้งหมดทั้งมวลก็แปรผันกับคณะที่สมัคร ง่ายๆ คือถ้าเราสมัคร Business school ก็คงไม่ติดอ่ะค่ะ หรือถ้าปีนี้คนโปรไฟล์อลังการสมัครเยอะมาก เราก็คงโดนเขี่ยทิ้งเป็นคนแรกๆ 55

การสมัครก็ดวงส่วนหนึ่ง สิ่งที่เรามีตรงกับสิ่งที่เขาต้องการส่วนหนึ่ง แล้วที่เหลือก็……จังหวะและโชคชะตา 55

แต่ไม่ต้องไปบนบานอะไรนะ เพราะที่อเมริกาไม่มีพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้ผล พระเจ้าที่นี่ไม่ได้ชอบกินไข่ต้มกับน้ำแดงด้วย 55

(เห้ย แต่เราเพิ่งนึกได้ 5 ปีที่แล้วเราเคยไปไหว้พระพรหมป่ะ ที่อยู่ตรงข้ามเป็นเส้นทะแยงมุมกับเซนทรัลเวิร์ด กับที่วัดประทุม ไม่รู้บนไว้หรือเปล่า ซวยแล้วไง 55 << แต่ปกติไม่เคยบนนะ น่าจะแค่ขอพรขำๆ)

เขียน essay ยังไงให้ดี

คือ…เราก็ไม่ได้เป๊ะมากนะ แต่ที่เราเขียนแล้วมันน่าจะโอเค(มั้ง) ก็คือถ้าเป็นของ UC มี 2 หัวข้อคือ

  1. เขียนเกี่ยวกับวิชาที่จะเรียน ทำไมอยากเรียน วางแผนยังไง ฯลฯ
  2. เล่าถึงประสบการณ์ หรือความสำเร็จอะไรก็ได้ที่สำคัญกับคุณ

ที่เราเขียนนะคะ

  1. เราสมัคร Japanese major ก็เขียน เกี่ยวกับญี่ปุ่น ไล่ยาวถึงว่าทำไมถึงชอบ ทำไมถึงอยากเรียน แล้วเราก็แตะไปนิดๆ ว่านี่แหละคือสาเหตุที่อยาก Transfer เพราะว่าที่ UC มีวิชาเอกนี้ แล้วก็เป็นวิชาเอกที่ดีมาก มีกิจกรรมที่สนับสนุน ฯลฯ (คือชมมหาวิทยาลัยเขาไปด้วย แต่ชมแบบศึกษามาละเอียดๆ นะคะ อย่าชมมั่ว)

สิ่งที่ควรใส่ในนี้ก็คือ “เหตุผลที่อยาก Transfer” ซึ่งถ้าเราแนะนำก็คืออย่าเขียนด่ามหาวิทยาลัยตัวเอง จะเกลียดไม่เกลียดก็อย่าด่า พยายามทำให้ Essay ของเราเป็นบวก สดใสเยอะๆ คนอ่านก็อยากอ่าน มันสะท้อนตัวตนเราด้วย … เคยมีคนแนะนำมาค่ะ ตั้งแต่ปี 1 เราก็เลือกเขียนแต่เรื่องสดใสมาตลอด แม้ว่าจริงๆ เราเป็นสายดาร์กนิดๆ ก็ตาม

แล้วก็เน้นที่ Show not Tell ไม่ใช่บอกแค่ว่าชอบยังงี้ แต่เสนอเป็นรูปธรรมเลยว่าทำอะไรบ้าง อย่างของเราก็ไปอยู่ญี่ปุ่น ทำแปลญี่ปุ่นอยู่ สอบวัดระดับ ฯลฯ เยอะมากเขียนไป เนื้อเน้นๆ น้ำพอคลุกคลิก

  1. อันนี้คิดยากมาก ตอนแรกว่าจะเขียนที่ไปอยู่กับโฮสที่ญี่ปุ่น แต่มันก็ซ้ำกับอันที่ 1 ไปหน่อย จะเขียนประสบการณ์ต้องอยู่ม.ปลายก็ไกลไป สุดท้ายรู้สึกจะเขียนใกล้ตัวแล้วกันคือเรื่องการได้มาทำงานที่สปา เขียนว่าเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง มันทำให้เราโตขึ้นยังไง (มีความรับผิดชอบ เป็น Professional เป็นคนละเอียดขึ้น เจอปัญหาโคตรเยอะ) แต่เราก็พยายามแก้ไขพัฒนาไป ซึ่งเราเพิ่งมารู้เมื่อไม่นานมานี้ ว่า UCB ชอบเด็กแนวนี้มากกกก อารมณ์คือเด็กที่ไม่ใช่อยู่แต่ในห้องเรียน คือเป็นเด็กที่รู้จักโลก รู้จักชีวิต เหมือนเขาอยากได้เด็กที่หลากหลาย (ปนประหลาดๆ) ด้วยแหละ

(ถึงบอกไงว่าการได้ตอบรับอยู่ที่สิ่งที่เขามองหาตรงกับที่เราเสนอไหม)  แล้วโชคดีที่เขาไม่สนแกรมม่า ภาษา ไม่งั้นก็คงไม่ติด…

สำหรับตัวอย่าง Essay หาได้ในเน็ตนะ คนแชร์เยอะแยะ ใครเขียนสวยเราก็แอบเอา Mood & Tone ของเขามา  อย่าลืมว่าต้องมี Intro Body Conclusion ด้วยนะ

หัวข้อที่สองนี่ คนส่วนมากเขาจะต้องมี theme มาคลุมเนื้อหาหน่อย ของเราจะเขียนเกี่ยวกับว่าการฝึกงาน การทำงานให้อะไรกับฉันบ้าง ทรีมคือ “the jouney to be mature” หรือเส้นทางการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ผ่านการเรียนรู้โลกนอกห้องเรียนมั้ง 55 จำย่อหน้าจบได้เลย เราพูดประมาณว่า

Yet, adult’s world is full of unsolved and unavoidable problems that we call difficulties. For me, I prefer to call it the “challenge”. Although there are many obstacles I have not over come yet, I am grad that at least it has come to m life so that I can learn from them, and to be “mature”, as I wish to be, may take time throughout my life.

ภาษาไม่สวยนะ แต่ชอบเนื้อหา

คิดว่าคิดเองป่ะ? เปล่า 55 เคยได้ยิน GOT7 มาร์คหรือแจ็คสันนี่แหละพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วเราแปลมา พูดหลายบทสัมภาษณ์มาก คือแปลจนเราจำได้แล้วจนเราพยายามทำตาม 55 บอกแล้วเป็นติ่งเกาหลีก็ช่วยได้เยอะ 55 อย่างน้อยก็เป็นไอเดียหลักของย่อหน้าจบเลยนะ

ส่วน UW มันส่งผลมาตอนเราอยู่ Grand Canyon บนสะพานเหนือหุบเหว 55 จำได้แม่น มือถือดังติดๆ ก็ปฏิเสธไปรอบที่ 2….

โปรไฟล์แค่ไหนถึงติด/ เกรดเท่าไหร่ / คิดว่าหนู-ผมคะแนนเท่านี้จะติดไหม/ พี่ได้ SAT เท่าไหร่ โทเฟลเท่าไหร่ ฯลฯ

เดี๋ยวต้องมีคนถามประมาณนี้แน่ๆ คำตอบคือเราไม่รู้ 55 ที่เราบอกไปข้างบนนี่คือละเอียดสุดแล้ว ถ้าสุดกว่านี้คือให้ล็อกอินเราไปอ่าน application ของเราแล้ว 55

แต่ถ้าถามมาเดี๋ยวจะช่วยชี้แนะค่ะ แต่ก็บอกก่อนว่าเราก็ไม่ได้รู้อะไรมาก

อย่างแรกคือ SAT กับ โทเฟลไม่ใช้ค่ะ ฉะนั้นไม่มีผล และโทเฟลเราต่ำต้อยมาก 55 จำคะแนนไม่ค่อยได้ด้วย ไม่ต้องถามน๊าาา มันคือฝันร้ายในชีวิต 55

โง่โทเฟลก็มีโอกาสได้เรียนมหาวิทยาลัยดีๆ ได้ โทเฟลไม่ได้แปรผันตรงกับเกรด หรือการติดมหาวิทยาลัยนะ (ยกเว้นเป็นตัวตัด ถ้าเขามีกำหนดขั้นต่ำ) ไม่งั้นคนเมกันที่ต้องสอบโทเฟลได้เต็มหมดก็ได้เกรด 4.00 แล้วดิ แต่ถ้าเป็นพวกโทเฟลน้อยอย่างเรา เวลาเรียนก็ต้องขยันมากขึ้นค่ะ…โคตรยากเลย TT

ส่วนป.โท เราไม่รู้ค่ะ ถ้าถามเราแบบคะแนนเท่านี้ เกรดเท่านี้ GRE เท่านี้ประสบการณ์เท่านี้จะติดไหม เราไม่สามารถรับประกัน การันตีอะไรได้ทั้งนั้น (แนะนำแบบโง่ๆ พอได้ค่ะ 55) เราเข้าใจใจคนสมัครนะ เพราะเราก็เคยถามชาวบ้านเขาไปทั่วเหมือนกันว่าเกรดเท่านี้ คะแนนเท่านี้จะติดไหม ก็มีทั้งพวกให้กำลังใจ แล้วก็มีพูดนัยๆ ว่าลองสมัครยูต่ำกว่านี้กันไว้ด้วย 55 แต่คนส่วนมากก็คือไม่สามารถตอบได้ทั้งนั้นว่า “ติด” หรือ “ไม่ติด”

คือไม่มีใครรู้ สมัครไปเลยถ้าอยากเรียนค่ะ ชีวิตคือการลอง ไม่ลองไม่รู้นะ

แต่สำหรับ UCB เราจับสไตล์ได้ประมาณหนึ่งคือเขาชอบคนมีประสบการณ์นอกห้องเรียนเยอะๆ คนหลากหลาย คนแปลกๆ หน่อย มีความคิดเป็นคนตัวเองเขาจะชอบค่ะ ไม่ได้ต้องการคนเก่งมาก คือไม่ต้องอลังการเว่อร์ เพราะเราก็ไม่ได้เก่งเลย จบม.ปลายมาแบบมั่วๆ (เรียนบ้าง โดดบ้าง) มีเกรด 1 เกรด 2 ด้วยนะ…เยอรมันลูกรักนั่นแหละ คือไม่ใช่พวกเทพ 4.00 ไรงี้

แล้วก็ไม่ได้เรียนจบรร. อินเตอร์ ภาษาอังกฤษก็ไม่เก่ง คะแนนสอบก็ไม่ได้อลังการ สอบทุนก็ไม่ติด 55 คือเข้ามาได้ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน =_= (บอกแล้วเขาอาจชอบของแปลก)

จริงๆ คือแนะนำให้เข้าไปอ่านพวก admisison profile ของปีก่อนหน้าจะได้รายละเอียดเป๊ะสุด แต่มันก้ไม่เสมอไป บางคนเกรด 3.9 / 4.00 โดนปฏิเสธจาก UCB ก็มี เราเจอหลายคน…ในขณะที่คนเกรดน้อยๆ อย่างเรา หรือน้อยกว่าเรา (แค่ 3.5/ 3.3) ได้รับการตอบรับก็มี

อยากได้ก็ลองเสี่ยงสมัครดู ไม่มีใครรู้ผล……..ยกเว้น…..

Admission Officer 55

3 เหตุผล (เกรด เรียงความ คนไทย) ที่ทำให้เราติดก็…อาจใช่ หรือไม่ใช่ทั้งหมดก็ได้ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงติด เราว่ามันก็คงต้องมีอะไรบางอย่างมั้งที่ทำให้เขารับเรา …สิ่งนั้นที่เราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร 55

สุดท้ายถ้าไม่ได้มาเรียนที่นี่จะเสียใจไหม

คือก็คงหงอยๆ ไป 2 วัน แล้วก็เฉยๆ เพราะสมัครขำๆ ลองดูแบบเออ ครั้งหนึ่งในชีวิตไรงี้ ได้สมัครแล้วนะ 55 ไม่เข้าใจตัวเองมากว่าทำไมไม่สมัครตอนอยู่ม. 6 แต่ที่จำได้คร่าวๆ คือ Essay หัวข้อยากเกิน คิดไม่ออก 55 แล้วก็ไม่มีเงินจ่ายค่า application แล้วมั้ง 55

ถามว่าถ้าไม่ได้ก็คงหงอยๆ แล้วก็เฉยๆ ถือว่าได้ก็ได้เป็นกำไร ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พยายามกับเส้นทางเดิมต่อไป

สุดท้ายก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม ว่าการได้เรียนม.ดีๆ ก็คือโชคดี คือเรียนม.ทั่วๆ ไปไม่ดังมาก เข้าไม่อยากมาก ใครก็เข้าได้ป่ะ แต่ถ้าได้เข้าที่ยากๆ มันก็ท้าทายดี ที่สำคัญคือเราอยากรู้ด้วยแหละ ว่าม.ดังๆ ดีๆ มันมีอะไรดี มันถึงได้ดัง ทำไมคนถึงอยากเข้า มันต้องมีอะไรพิเศษสิ พวกนักเรียนทำไมมันดูเก่ง ดูดีกันจังเลย มันต้องมีอะไรในนั้นดิ…. นี่แหละค่ะ แรงบันดาลใจ 55 (ความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ 55)

แต่ถ้าพูดถึงในแง่ของอาชีพ การงานจริงๆ ก็เหมือน…อะไรดีล่ะ เหมือนบ้านได้ไหม บางคนได้บ้านหลังใหญ่โตไว้อยู่ บางคนได้บ้านธรรมดาเกรด B เกรด C  (เห็นคนเขาพูดกันม. ABC 55) ถามว่าบ้านหลังใหญ่อุปกรณ์ครบครันมันได้เปรียบกว่าไหม ก็ตอบว่าแน่นอน

  • เปิดบ้านไว้ให้เช่าถ่ายหนังก็ได้ตังค์ / พื้นที่เยอะปลูกผักกินเองก็ได้ ฯลฯ คือโอกาสที่มันเข้ามามันเยอะกว่าแน่นอนอยู่แล้ว (ในแง่ของอาชีพการงาน)

แต่บ้านเกรดบี เกรดซี เจ้าของบ้านก็พัฒนามันได้ ตกแต่งมันให้ดูดี จะมาสายโมเดิร์นหรูๆ ไปฮิปสเตอร์แนวๆ ไปอะไรก็ได้ มันก็มีค่าขึ้นมา

ก็เหมือนกับคน ส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกว่าการเรียนม. BC คือจุดจบของชีวิต มันทำได้ แต่ก็ต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น คุณต้องมีอะไรไปพิสูจน์เขา ว่าคุณทำได้ คุณมีความสามารถ มีศักยภาพ ทำให้เป็นรูปธรรมด้วย ไม่ใช่แค่ไปพูด “หนูขยัน หนูตั้งใจค่ะ”

เราขี้เกียจ เราเป็นคนไม่ตั้งใจ เราก็พูดประโยคนั้นได้ =_=

เราให้กำลังใจทุกคนนะ ไม่ว่าจะจบจากที่ไหน ถ้าอยากประสบความสำเร็จก็ต้องขยัน พยายาม ทำงานหนักด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้ามีโอกาสก็ลองพยายามเข้าม.ยากๆ ดีกว่า แต่ถ้าไม่ได้ มันก็ไม่ใช่จุดจบ หรือเข้าได้แล้วก็ใช่ว่าชีวิตจะกินนอนไม่ทำอะไรไปวันๆ ป่ะ

ฝากถึงน้องม.ปลาย = ก็อยากบอกว่าให้พยายามให้สุด ถ้าไม่สุดแล้วก็มาเสียใจที่หลังว่าทำไมไม่อ่านหนังสือเยอะกว่านี้ จะได้เรียนที่ๆ อยากเรียนไปแล้ว การได้เรียนม.ดังๆ มันคือการได้รับโอกาสดีๆ อย่างหนึ่งนะ เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง HR ส่วนมากก็เลือกคนจากม.ดังๆ ไปก่อนแหละ

ขนาดของอเมริกาที่คนไทยตอนนี้ชอบแชร์แนวชื่นชมเยอะแยะ ว่าดีจัง เน้นรับคนที่นิสัย ประสบการณ์ แต่ถ้าดูจริงๆ แต่ละคนโปรไฟล์การศึกษาอลังการเกือบหมด ไม่ชื่อลองไปส่องผู้บริหาร Google/ Facebook ดูสิ จบแต่ม.ดังๆ ทั้งนั้น

(ขนาดเราเคยไปงานเลี้ยงบริษัทน้าเขยเป็นบ.ซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้ดังขนาดคนรู้จักอย่างกูเกิลอะไรงี้ คนนึงจบ MIT อีกคนดูสวยๆ ชิลๆ ไปคุยด้วย จบตรี UC berkeley จบโท MBA- Wharton – ท็อป 5 Business school จ้ะ ตอนนั้นสัมผัสได้ว่าตัวเองดูโง่มาก แล้วบุคลลิกแต่ละคนคือดีนะ ยิ่งคนหลังนี่คือเก๋ สวย ดูดี ฉลาด เป๊ะมากก ตอนเรียนจบป.ตรีนางมา Backpack เที่ยวแถวเอเชียด้วย…บอกแล้วว่าคนเก่งทั้งการเรียน ทั้งใช้ชีวิตมีอยู่จริง ไอดอลมาก 55)

ฝากถึงคนที่กำลังเรียนม.ไม่ดังอยู่ = อยากบอกว่าให้พยายามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ทักษะอะไรพิเศษหาได้ก็เพิ่มไป (คอมพิวเตอร์ ภาษา ประสบการณ์ทำงาน การฝึกงาน ด้านผู้นำ ฯลฯ) มันมีหลายอย่างมาที่ทำได้ แล้วก็จะทำให้ resume ของเราโดดเด่นขึ้นมา

เรามีเพื่อนที่เรียนอยู่ม.เอกชน (ไม่ดังมาก) แต่นางทำกิจกรรมเยอะมาก ฝึกงานเยอะมาก ตอนนี้เราเห็นนางก็ได้รับเลือกไปฝึกงานกับบริษัทดังๆ หลายครั้ง ถ้าอยากได้ทำงานที่ดีๆ ก็ต้องพัฒนาตัวเองเยอะๆ (พัฒนายังไง ลองหารุ่นพี่ม.ตัวเองหรือใกล้เคียงที่เขาประสบความสำเร็จไว้เป็นแนวทางดูก็ได้นะ)

ฝากถึงคนที่กำลังเรียนม.ดังๆ อยู่ = พัฒนาทักษะอื่นๆ สำคัญมากกกก หาความรู้นอกห้องเรียนมากๆ คนที่จบที่ดังๆ แต่ไม่ประสบค.สำเร็จในสิ่งที่อยากทำก็มีเยอะนะ ที่สำคัญคือค้นหาตัวเองให้เจอ ว่าชอบอะไร อยากทำอะไรนะคะ 🙂

ฝากอีกทีว่า คนที่มีความรู้ท่วมหัวเอาตัวรอดก็มีเยอะแยะ ส่วนพวกไม่มีความรู้และเอาตัวไม่รอดก็มีเยอะแยะเหมือนกัน ความรู้ไม่ได้แปลผกผันหรือแปรผันกับการเอาตัวรอดนะคะ แล้วก็ไม่ใช่ว่าคนเรียนไม่เก่งจะมีทักษะชีวิต หรือรู้จักชีวิต หรือใช้ชีวิตได้คุ้มกว่าคนที่เรียนเก่งนะคะ

ชีวิตที่คุ้มคือได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ได้ทำฝันให้เป็นจริงนะคะ 

แล้วก็ไม่ใช่ว่าคนเรียนเก่งต้องไม่รู้จักโลก ไม่เข้าใจชีวิตเสมอไปนะ

มันเป็นสองสิ่งที่ไม่เกี่ยวกัน อย่าเอามาผูกกันนะ ^_^

เรามาถึงตรงนี้ได้ยังไง 55

ทุกวันนี้อนาคตเรียนจบจะทำอะไรก็ยังไม่รู้ แม่เคยบอกไว้ว่าให้มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน 55 ก็เลยจัดให้ อนาคตช่างมัน 55

Advertisement

One thought on “(USA) การ Transfer มหาวิทยาลัย

  1. พี่ค่ะ ถ้าเรียนมหาลัยไทยก่อน แล้วอยากTransferตอน ปี2หรือ ปี3ทำได้มั้ยค่ะ แล้วมหาลัยไหนให้บ้างอ่ะค่ะ

Comments are closed.

Create a website or blog at WordPress.com

Up ↑

%d bloggers like this: