วิชานี้เรียนตอนปี 1 ที่ Emerson College
เศรษฐศาสตร์ แค่ฟังชื่อก็ดูอลังการ ดูแบบเรียนแล้วต้องฉลาดขึ้นแน่เลย พอเทอม 2 ตอนปี 1 มีโอกาสเราเลยไม่รอช้าที่จะลงวิชานี้เลย อาจารย์ที่สอนก็กำลังจะจบป.เอกด้าน เศรษฐศาสตร์นี่แหละ ที่บ้านก็ขู่ขำๆ ว่าบ้านนี้เรียนเศรษฐศาสตร์ต้องได้เกรดดีนะ 55 (เพราะพ่อเราจบด้านเศรษฐศาสตร์มา 55)
แต่พอพ่อเจอ assignment การบ้านเราไปก็อึ้งเหมือนกัน
วิชานี้เป็นวิชาที่ท้าทายเรามากที่สุด ตั้งแต่เรียนมาเลย ด้วยความที่เทอมนั้นเรามุ่งมั่นมาก ว่าอยากได้ 4.00 แล้วอาจารย์ก็ขึ้นชื่อว่าสอนดีมากแต่โหดมาก ให้เกรดยาก….
อันนี้เป็น syllabus ของคลาส Econ syllabus ยาว 9 หน้า…. ซึ่งคลาสนี้เรียนทั้ง Micro และ Macro ด้วยกัน
Grading:
- Participation: 1/6 ของเกรดทั้งหมด โดยแต่ละคาบจะมีคะแนนให้ 5 คะแนน ถ้ามาเข้าเรียนได้แค่ 1 คะแนน ที่เหลือต้องมีส่วนร่วม ยกมือตอบ ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือมาทุกครั้ง
- Quiz (ออนไลน์และในห้อง) 1/6 ของเกรดทั้งหมด ทุกคาบมี quiz (จากเนื้อหาที่ให้อ่านมาก่อนเข้าเรียนนั่นแหละ)
- Presentation 1/6 มีหัวข้อให้ เราก็ต้องหาข้อมูลเรื่องนั้น แล้วก็ present หน้าห้อง (มหาวิทยาลัยเรามันเป็นโรคจิต ทุกคลาสต้องมี present หน้าห้อง 55
- Essay ต้องเขียน 2 หัวข้อ คิดเป็น 25% ของเกรดทั้งหมด…
- สอบ มีสอบ 3 ครั้ง คิดเป็น 25% ของทั้งหมด
หนังสือที่ใช้
Microeconomics in Context 2nd Edition
ความยากของคลาสนี้คือ….ยากทุกอย่างอ่ะ 55
เริ่มจาก การเข้าเรียนก่อน คือเราต้องตอบคำถาม ไม่งั้นไม่ได้คะแนน แต่เราก็ไปบอกอาจารย์ตั้งแต่ต้นแล้วว่าหนูเป็นเด็กต่างชาติ โง่อังกฤษมาก คิดไม่ทัน ตอบไม่ทัน ใจดีกับหนูหน่อยนะ 55
โดยคำถาม ที่จะถามก็ถือ ทุกคาบจะมีการบ้าน (exercise) ที่ต้องทำให้เสร็จก่อน แล้วอาจารย์ก็จะเลือก Quiz เป็น 1 คำถามจากอันนั้น แล้วที่เหลือก็จะมาถามจากในห้อง เราก็ต้องยกมือตอบตรงส่วนของ Exercise นี่แหละ ต้องยกให้ทันด้วย เพราะฝรั่งโคตรไว 55 (แต่ส่วนมากก็ได้ อาจารย์ให้เราตอบก่อน)
เพราะหลังจากนั้นอาจารย์จะ lecture แล้วก็ถามความเห็นเกี่ยวกับหัวข้อต่างๆ ซึ่งเราตอบไม่ได้ค่ะ คิดไม่เป็น คิดไม่ทัน คิดไม่ออก…
Presentation: อย่างที่บอกว่ามหาวิทยาลัยเรามันเน้น public speaking มาก คือทุกคลาสต้องมี present หน้าห้อง อย่างน้อย 1 หัวข้อ (เคยเจอสูงสุดคือ 3…) แต่ด้วยความที่เราลงเรียนวิชานี้ตอนปี 1 ซึ่งก็ยังไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องพูดเท่าไหร่… ก็สั่นๆ ไป แต่ไม่น่าเชื่อว่าผ่านมา 2 ปีเราดีขึ้นเยอะนะ ในด้านการพูดหน้าห้อง ไม่สั่นแล้วอ่ะ
สอบ: ตอนสอบครั้งแรก อาจารย์เห็นใจไง ว่าเป็นเด็กต่างชาติแล้วอาจารย์ก็รู้ว่าเราอังกฤษไม่ดี (ดูจากภาษาที่เราเขียนตอบ) เขาก็เลยให้เวลาเราเพิ่ม ทำถึงกี่โมงก็ได้ สรุปคือเต็ม 100 เราได้ไป 98 หลังจากนั้นอาจารย์เลยไม่ให้สิทธิ์พิเศษเราอีกเลย 55
สอบก็คือเนื้อหานั่นแหละ มีคิดวิเคราะห์ด้วย มีทั้งตัวเลือก เขียนบรรยาย วาดกราฟ ฯลฯ เรานี่ท่องเลยค่ะ ทั้งสูตร ทั้งนิยาม เราท่องแบบเป็นวัวเป็นควายอ่ะ… ซึ่งก็ช่วยได้นะ บางข้อนึกไม่ค่อยออกก็เขียนนิยามลงไปก่อน อย่างน้อยก็ได้คะแนนบ้าง
Essay (econ nat) เป็นงานที่โหดมากกกก ตอนนั้นแบบเครียดมากโดยงานเขียนคือให้เอาทฤษฏีทางเศรษฐาสตร์มา 1-2 หัวข้อ เช่น Cost-benefit principle หรือ scarcity principle มาช่วยในการตัดสินใจในชีวิตของเรา โดยอาจเป็นเรื่องที่กำลังจะเกิดหรือเกิดขึ้นแล้วก็ได้
พอได้ยินชื่องานที่เราแบบ ($^)_& มากกกก แต่โชคดีที่อาจารย์มีตัวอย่าง paper ของรุ่นก่อนมาให้อ่าน เราก็เลยลอก mood and tone โครงสร้าง มาทุกอย่าง แค่เปลี่ยนหัวข้อเป็นของเรา
โดย essay แรกเราเขียนว่า Summer นี้ควรทำอะไรระหว่างฝึกงานในกทม กับไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น
Essay ที่สอง เราเขียนอีกเรื่องคือควรต่อยอดภาษาญี่ปุ่นดีหรือว่าเรียนภาษาเกาหลีดี
โดยเราใช้ cost benefit principle ทั้งคู่ และต้องมีพูดถึง margin cost อะไรแบบนี้ด้วย…
ตัวอย่างงานเขียนเรา Econ nat
สิ่งที่สำคัญมากก ของ essay ทีนี่ก็คือ citation หรือบรรณานุกรม ต้องเป๊ะ ในบทความถ้าเราอ้างอิงใครมาก็ต้องทำให้ถูกต้อง ไม่งั้นถือว่าเราไปลอกงานเขามามีสิทธิ์โดนไล่ออกได้เลยนะ 😦
สิ่งที่วิชานี้ให้เรามากๆ ก็คือแนวความคิด ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เรียน econ และอนาคตก็คงไม่ลงเรียนอีกแล้วก็ตาม 55 แต่เรื่อง cost-benefit นี่ยังจำฝังใจ
ความแตกต่างระหว่างเรียนในไทยกับอเมริกา
ก่อนอื่น ขอบอกว่าเราจะเทียบในอเมริกาทั้งหมดไม่ได้ เพราะมหาวิทยาลัยเรามันค่อนข้างประหลาด เป็นมหาวิทยาลัยที่เน้นการประยุกต์การปฏิบัติมากกก ไม่ได้เน้นทฤษฏีอลังการเว่อร์ แต่ก็คือต้องเรียนทฤษฏือยู่ดี ไม่งั้นจะปฏิบัติได้ไง
ด้วยความที่น้องเราเรียนวิชานี้เหมือนกันแต่ในไทย (ภาคอินเตอร์) ก็เลยได้เห็นความแตกต่าง ซึ่งไม่มีแบบไหนดีไม่ดีนะคะ
ของไทยจะเน้นแบบทฤษฏีเป๊ะมาก ในเวลา 1 เทอมเรียนเนื้อหาเยอะกว่าเราเยอะ มีคำนวณอลังการมากกก (มหาลัยเราเด็กมันโง่เลขด้วยแหละ อาจารย์ก็เลยไม่ค่อยอยากให้คิดเลขเยอะ 55) ตอนคุยกับน้อง มันก็ด่าเรานะ ว่าแบบพี่เรียนอะไรบ้างเนี่ย เพราะมันพูดแต่ละหัวข้อมาเราแบบ ไม่รู้อ่ะ… หรือเคยเรียนแล้วลืมก็ไม่รู้
ถึงตาเราบ้างล่ะ เราก็บอกว่าเราเรียนอันนี้ๆ แล้วก็มีการบ้านทำอันนี้ (งาน paper นี่แหละ) เราก็บอกไปว่าเราเขียนอย่างงี้ๆ มันก็แบบ โห ยากอ่ะ ถ้าเป็นมัน ทำไม่ได้อ่ะ… 55
How I study?
สำหรับวิธีการเรียน Econ ของเราก็คือ เราจะมีสมุด 2 เล่มค่ะ เล่มแรกเราเรียกว่า outline notebook ก็คือเป็นเล่มที่จดเป็นระเบียบ เรียบร้อย เอาไว้เตรียมก่อนไปเรียน เช่นวันจันทร์ อาจารย์บอกว่าให้อ่านบทที 1 มา เราก็จะอ่านแล้วก็ note สรุปเอาไว้ด้วย รวมถึงแบบฝึกที่อาจารย์ให้ทำ แล้วก็หิ้วเล่มนี้ไปห้องเรียนด้วย
ส่วนสมุดอีกเล่ม ก็คือ ไว้เขียนในห้อง ไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไหร่ เน้นเขียนให้ทัน เน้นเขียนที่อาจารย์เน้นๆ เพราะมันออกสอบชัวร์
ที่สำคัญก็คือศึกษา syllabus แล้วก็จับแนวให้ถูกว่าอาจารย์คนนี้ต้องการอะไร อย่างเช่น อาจารย์ econ ต้องการให้เด็กอ่านหนังสือก่อนไปเรียนทุกครั้ง เราก็อ่านไป….. เป็นต้น
สุดท้าย A จ้ะ 🙂
Reblogged this on iamusasuniversitygirl.