Wwoof in Little Forest: เมื่อฉันได้ไปวูฟในฟาร์มคาเฟ่ ณ บ้านนอกญี่ปุ่น
The Journey Begin
ในที่สุด วันเดินทางมาถึงแล้ว ความกังวลสารพัดมีหมด จะพูดญี่ปุ่นรอดไหม ไม่ได้ใช้ภาษานี้มา 1 ปีเต็มๆ เราต้องทำได้สิ มั่นใจๆ 55
เราเดินทางจากซานฟราน อเมริกา (เราเรียนอยู่อเมริกา เดี๋ยวพอไปวูฟแล้วจะมีแทรกเรื่องราวญี่ปุ่นกับอเมริกานิดหน่อย) ได้บินสายการบิน ANA เป็นครั้งแรก ชอบมาก เพราะเครื่องโล่งดี 55
การเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองก็ใช้รถไฟ อยู่ชั้นใต้ดิน เราใช้บัตร Passmo ก็ต้องเข้าไปเติมเงินก่อน ใครจะซื้อเขาก็มีขาย Suica นะ อยู่ก่อนทางเข้า
ใครมีพวกไอโฟน ไอแพด ก็ใช้เน็ตฟรีใต้ดินเสิร์ชดูจาก Hyperdia.com ว่านั่งรถไฟสายกี่โมงเข้าเมืองเร็วสุดเพราะมันจะมีทั้งรถธรรมดา/ รถด่วน/ ด่วนพิเศษ/ Skyaccess ฯลฯ ถ้าเป็น Skyliner ต้องจ่ายเงินเพิ่ม (ถ้ามี JR Pass นั่งฟรี)
โรงแรมที่เราพักคือ Toco อยู่สถานี Iriya แถว Ueno ซึ่งเราเคยพักครั้งที่แล้ว ก็แบบมั่นใจมากไงว่าจำได้แน่ๆ เลยไม่ได้ปริ๊นต์ที่อยู่มา สรุปลืมจ้ะ เดินหาแทบตาย 55 เป็นโรงแรมที่ดีตรงที่ไม่ต้องจ่ายมัดจำ ราคาคืนละ 3 พันเยน (แต่ส่วนตัวเราชอบข้าวสารมากกว่า เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังตอนท้าย)
พอเก็บข้าวเข้าที่พักแป๊บ เราก็แทบพุ่งไป Ueno ทันที ณ ตลาด Ameyoko จะไปกินข้าวหน้าปลาดิบที่คนเขาร่ำลือกัน อยากกินมา 1 ปีแล้ว วันนี้เลยจัดสักที เป็นลูกค้าคนสุดท้ายเลยจ้ะ เราไปตอน ทุ่มนิดๆ เขาปิด 1 ทุ่ม

กินไรดีน๊าาาาา สุดท้ายก็จบท้ายด้วยแซลมอนกับมากุโร่ของโปรด เราต้องจ่ายเงินที่หน้าร้านก่อน แล้วเขาจะให้บัตรเรา เราก็เข้าไปหาที่นั่งได้เลย มีน้ำชาฟรีให้กิน สักพักเขาก็ออกมาพร้อมอาหาร เราก็กินอย่างอร่อยยยย

รสชาติเราว่าสู้อีกร้านหนึ่งที่เรากินรอบที่แล้วไม่ได้ แต่ก็โอเคค่ะ หลังจากนั้นก็ไปหาเสบียงตามพวกซูปเปอร์ชั้นใต้ดินแถว Ueno เพราะมั่นใจว่า พรุ่งนี้ เราตื่นเช้าแน่ 55 อาการเจ็ตแลตค่ะ (ใช่ซี่ พวกเธอบินจากไทยไม่ต้อง Jetlag นี่) เหมือนตอนนี้ที่เราพิมอยู่ ก็ Jetlag ค่ะ ตื่นมาตั้งแต่ตี 4
รีบไปนอน พรุ่งนี้จะไปเที่ยวนิดๆ ตอนเช้าก่อนแวะไปหาอาจารย์และโอก้าซัง (โฮสแม่) ค่ะ 1 ปีไม่ได้เจอกันจะเป็นยังไงกันบ้างนะ
The reminder of the past
วันนี้เป็นวันที่จะพาตัวเองย้อนกลับไปสู่บรรยากาศและผู้คนจากปีที่แล้วอีกครั้ง
เริ่มต้นด้วย ตื่นมาตั้งแต่ตี 4 (เพื่อ?) นั่งเล่นรอให้สายอีกนิด เราก็ออกเดินทางกันเลย แผนการวันนี้คือมีนัดเจออาจารย์พร้อมไปเอาของตอนเที่ยงและไปเจอโฮสแม่บ่าย 4 ที่เดียวกัน ตอนเช้าก็จะไปไหนดีล่ะ ไม่มีที่ไหนเปิดเท่าไหร่
เราก็เลยตัดสินใจไปมหาวิทยาลัยในฝันเรา Waseda University รอบที่แล้วเดิน Todai หลายรอบมาก รอบนี้ขอมาวาเซดะแล้วกันนะ
ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย แวะกินข้าวเช้าแป๊บ กับเมนูที่คนไทยส่วนมากไม่น่ากล้ากิน 55

มันคือ..
นัตโตะโซบะจร้า

แต่เอาจริง เราว่าคนทั่วไปก็กินได้นะ เพราะนัตโตะในชามนี้เหมือนเป็นถั่วทั่วไปมากกว่า ไม่ค่อยมีกลิ่นเน่าเลย
การกินร้านโซบะแบบนี้ สิ่งที่ยากก็คือ เมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย แต่ส่วนมาก หน้าร้านจะมีเมนูแนะนำนะ ชอบอันไหนก็ถ่ายรูปแล้วไปยื่นให้พนักงานเลยก็ได้ แต่ถ้าเป็นร้านตู้กดก็นั่งหารายชื่อในตู้ไปนะ (การใช้ตู้กดอาหาร คือเราต้องใส่เงินไปก่อนนะ แล้วถึงเลือกเมนูได้)
เมนูที่คนญี่ปุ่นสั่งบ่อยสุดก็น่าจะเป็น かけそば (คาเคโซบะ) คือโซบะเปล่าๆ ใส่ในน้ำซุปโรยต้นหอม? แต่ถ้าใครชอบผักเน้นๆ ก็แนะนำเมนูของเราเลยคือ 山菜そば (ซังไซโซบะ) ผักเน้นๆ ปกติเราก็กินแค่อันนี้แหละ
ไปเดินวาเซดะสักนิดนะ ช่วงที่เราไปน่าจะเป็นเวลาเข้าเรียนพอดี เด็กมากันเยอะมากเลย
ความแตกต่างของนศ ญี่ปุ่นกะอเมริกาหรอ คือเราว่าคนญี่ปุ่นแต่งตัวเป๊ะมาก ผู้หญิงอย่างน้อยก็คือแต่งตัวแบบออกไปนอกบ้าน เซ็ทผม แต่งหน้า ถ้าเมกาหรอ…เช้าขนาดนี้ พวกใส่เกือบๆ ชุดนอนไปเรียนก็มี 55
เดินเล่นไม่ทันไร ก็ถึงเวลาไปหาเซนเซ (อาจารย์แล้ว) ก็ขึ้นรถไฟไป Ikebukuro แล้วต่อ JR ขึ้นไปสถานี Omiya แห่งเมืองไซตามะ นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เราจากมา……
久しぶり〜〜 (ไม่ได้เจอกันมานาน)
พอออกจากสถานีมารอปุ๊บ เซนเซก็เดินมาเลย เซนเซคนนี้เป็นคนเดียวที่เราพูดโดยใช้รูปธรรมดา (ไม่ใช่รูปสุภาพ) ยกเว้นถ้าเขียนก็ยังใช้สุภาพอยู่ พอเจอกัน เซนเซก็เข้ามากอดแล้วก็แบบ 久しぶり (hisashiburi) เราก็แบบบอกไปว่าไม่ได้ใช้ญี่ปุ่นมาปีนึง ลืมหมดแล้วนะ 55 เซนเซก็เหมือนรู้ว่าเราอยากได้อะไร หยิบผลสอบออกมาให้เลย เป็นผลสอบ JLPT ของปีที่แล้ว
รอคอยมานานมากมาย
จากนั้นก็ออกไปเจอเพื่อนที่เคยเรียนร่วมชั้น แล้วก็ไปกินข้าวร้านใกล้ๆ เป็นร้านราเม็ง ก็นั่งคุยไป เพื่อนกลุ่มนี้เป็นคนเวียดนามแต่พูดแล้วใช้ญี่ปุ่นกันนะ เราก็เป็นคนเงียบๆ 55 ก็ดีใจที่ได้เจอ ถึงเราจะจำชื่อไม่ค่อยได้ ชื่อจำยากเกิน 55
พอแยกย้าย เซนเซก็ชวนไปกินของหวาน เป็นร้าน wagashi คือพวกขนมญี่ปุ่นที่เป็นถ้วยๆ เช่นถั่วแดว ชาเขียว ฯลฯ ก็ได้คุยกับอาจารย์มากมายสารพัดเรื่อง เรื่องชีวิต เรื่องทั่วไป ส่วนมากเราเป็นฝ่ายพูดมากกว่า ก็แบบ เออ Speaking skill เรายังอยู่ครบ

แยกย้ายจากอาจารย์ก็ไปเดินเล่น รอโฮสแม่ โฮสแม่ก็รู้ใจพาไปกินขนม นั่งคุยกันไป 2 ชั่วโมงถึงเรื่องนู่นนี่ ส่วนมากก็เป็นเรื่องของเรา ว่าเราทำอะไร แล้วก็เลยบอกโฮสแม่ว่าย้ายเมืองนะ มาอยู่ที่นี่ บอกชื่อมหาวิทยาลัยไปแบบเห้ย! โฮสแม่รู้จักด้วย ความรู้สึกเรา คือเรารู้สึกว่าเราเป็นเหมือนลูกอีกคนจริงๆ ด้วยความที่เหมือนลูกๆ ของโฮสแม่ก็ทำงานกันแล้ว มีแต่เราที่ยังว่างๆ ร่อนไปมา 55
ชีวิตโชคดีมากๆ ที่ได้มาเจอโฮสแม่ที่เข้ากันได้ อาจเพราะเราเป็นคนกรุ๊ปเลือด B เหมือนกัน (เกี่ยวไหม) ชีวิตเราตอนนี้ถ้าจะไปหาโฮสอีกครั้ง จะต้องถามกรุ๊ปเลือดไหมเนี่ย 55 ชอบความชิลของคนกรุ๊ป B 55
ที่มหัศจรรย์ตัวเองคือ เราสามารถพูดญี่ปุ่น ฟังญี่ปุ่นตลอดหลายชั่วโมงได้โดยไม่รู้สึกเหนื่อย ปกติแค่พูดไม่กี่ชั่วโมงก็เหนื่อยแล้วตอนสมัยเริ่มเรียนแรกๆ แต่แสดงว่าเราดีขึ้น!!! (หลอกตัวเอง 55)
ใครตามอ่านการไป Wwoof ครั้งนี้ตามได้ที่แท็ก #Wwoof ของเราเลยนะ