พอเราพูดถึงคำว่า Slow life หลายคนก็อยากมีชีวิตแบบนี้
เรื่อยๆ เฉื่อยๆ วันๆ ไม่ทำอะไร?
นั่นไม่ใช่การใช้ชีวิตแบบสโลไลฟ์เท่าไหร่ สโลไลฟ์ที่แท้จริงคือการรู้ตัวว่าตัวเอง “ต้องการอะไร” มากกว่า
Is slow life really you? การใช้ชีวิตแบบสโลไลฟ์ใช่ตัวตนที่แท้จริงของคุณหรือเปล่า
การค้นหาตัวเองเจอยิ่งเร็ว ยิ่งดี บางคนอาจแค่ต้องการบางช่วงของชีวิตเพื่อ slow down เพื่อสัมผัสตัวตน อยากตกตะกอนความคิดของตัวเองเท่านั้น ซึ่งการได้ปลีกตัวเองออกมาเป็นเรื่องที่ดีนะ
Slow life is not just about lifestyle, it is a mind-set
สำหรับเรา เรารู้สึกว่าการใช้ชีวิตแบบ Slow life ไม่ใช่เป็นแค่ไลฟสไตล์ แต่มันเกี่ยวกับความคิดและทัศนคติของเรามากกว่า
สโลไลฟ์ไม่ใช่แค่การไปร้านกาแฟนั่งจิบกาแฟ ชิลๆ (โพสรูปลง IG) แต่มันคือความคิดและตัวตนของเรามากกว่านะ การปล่อยตัวเองนั่งชิลๆ เรามองว่าเป็นการพักผ่อน /relax มากกว่าคำว่า slow life 🙂
Slow but sure
Slow ที่ว่าหมายถึงทั้งวิถีชีวิตแต่ละวัน เราไม่ต้องรีบๆ เร่งๆ ตัวเองตลอดเวลา เคยไหมที่บางทีตอนเช้าต้องรีบทำนู่นทำนี่ให้เสร็จภายในเวลาจำกัด ลองเปลี่ยนมาตื่นเช้าขึ้น มีเวลาค่อยๆ จิบชา กาแฟ มองดูต้นไม้ริมหน้าต่าง ทำอาหารเช้าดีๆ ทาน
มากกว่านั้น คือการไม่ต้องก้าวตามกระแสสังคมเร็วเกินไป แต่ให้แน่ใจว่านั่นคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ แล้วค่อยทำ
เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทำให้โลกนี้เร็วไปหมด ในหนึ่งวัน เรารับรู้ข่าวสาร เทรนด์ใหม่ๆ มากมาย โฆษณาก็กลายเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างค่านิยม (ทั้งดีและไม่ดี) ให้กับโลก
ผิวต้องขาว หน้าต้องเรียว ผมสลวย ใช้แบรนด์นี้แล้วดูสวย ใส่รองเท้าคู่นี้แล้วดูแพง กินสิ่งนี้แล้วดูคลีน ฯลฯ เพราะโฆษณารวมถึงการสร้างแบรนด์ต่างๆ ต้องมีสิ่งเหล่านี้ เพราะสินค้าและบริษัทเขาไม่ได้ขาย product อย่างเดียว แต่เขาขาย แบรนด์ ขายค่านิยม ขายคุณค่า (ทั้งดีและไม่ดี) ที่อยู่กับมันด้วย เป็นสิ่งที่ทำให้สินค้าแพงขึ้น
Planing is a key
การทำงานช้ากว่ากำหนด การผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ใช่วิถีชีวิตของสโลไลฟ์นะ อย่าเข้าใจผิด
ในช่วงเวลาที่งานสุมเยอะๆ หรืออย่างเช่นช่วงสอบ การวางแผนคือสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราไม่ต้องรีบเร่งจนเกินไป อ่านก่อนได้เปรียบกว่า เพราะเราก็ค่อยๆ เก็บไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องเร่ง
Minimalist
อย่าไปตั้งใจว่าฉันจะลด ฉันจะไม่ซื้อ เพราะสุดท้ายก็อาจทำไม่ได้อยู่ดี แต่อยากบอกว่าการที่ชีวิตเราลดความอยาก มันก็ช่วยให้เรามีความสุขขึ้นระดับหนึ่งเลยนะ เพราะเวลาที่เราอยากได้สิ่งหนึ่งมากๆ สมมติอยากได้กระเป๋าใบหนึ่ง ความคิดในหัว สายตาเราก็จะนึกถึงกระเป๋าใบนั้นอย่างเดียว แต่พอเราไม่มีความอยาก เราก็จะมีสายตาและห้วงความคิดเหลือสำหรับมองสิ่งรอบตัวมากขึ้น เห็นความสวยงามของสิ่งรอบตัว
Cook your own meal
การทำอาหารเอง ทำให้เราเลือกที่จะรักตัวเองมากขึ้น เราได้กินอาหารที่มีชีวิตมากกว่าอาหารกล่องที่ทำขายส่งๆ เรามีเวลาไปตลาดเพื่อเลือกผักดีๆ มาทำอาหาร เลือกใส่เครื่องปรุงที่คิดว่าดีกับตัวเอง ทุกวันนี้เราทำอาหารกิน 3 มื้อ มีความสุขมาก 🙂
Be Present
อยู่กับปัจจุบัน อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อนาคตอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ลองหยุดอยู่กับปัจจุบันให้มากขึ้น มีสติมากๆ อย่าปล่อยให้ความกลัว ความกังวล ฯลฯ มาครอบงำความคิดเรา
Trust the world เชื่อว่าโลกนี้สวยงาม (ฟังดูโคตรโลกสวย 55)
ให้เชื่อ ว่าโลกนี้ยังมีคนดีๆ มีมุมที่สวยงามอยู่ โดยเริ่มต้นจากตัวเอง เปลี่ยนตัวเองเป็นคนดีขึ้น ทำสิ่งที่ดีๆ มองคนอื่นในแง่ดี พาตัวเองไปอยู่กับคนดีๆ ในสถานที่ดีๆ แล้วชีวิตมันก็จะดีเอง
บางคนบอกว่า ตัวเราเองสำคัญสุด….ก็จริง แต่สิ่งแวดล้อมรอบตัวก็สำคัญไม่แพ้กันนะ
แท้จริงแล้ว การมองโลกแบบแง่ความจริงดีที่สุด (realistic) ก็แค่เข้าใจมัน เข้าใจว่าคนบางคนมันก็เป็นแบบนี้แหละ บางคนเขาก็มีความคิดแบบนี้ ถ้าเปลี่ยนเขาไม่ได้แล้วเราไม่แฮปปี้ก็แค่ถอยออกมา อย่าไปฝืนตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ชอบ
แล้วถ้าถอยออกมาไม่ได้ล่ะ ก็แค่ยอมรับเขาในแบบที่เขาเป็น ลองเปิดใจเรียนรู้เขาถึงประวัติ สภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตมา ตอนแรกอาจต้องฝืนตัวเองนิดๆ (ก็ไม่ชอบมันเลย ไม่ได้อยากรู้จักมันด้วย) แต่พอเรารู้จักตัวตนเขามากขึ้น เราก็จะเข้าใจและเมตตาในสิ่งที่เขาเป็น
Be happy with a little moment in life มีความสุขกับสิ่งเล็กๆ ในทุกๆ วัน
ชีวิตที่มีความสุขที่สุดไม่ใช่ชีวิตที่ทุกอย่างต้องเพอร์เฟค ต้องดีงามที่สุด แต่คือชีวิตที่ทุกๆ วัน ไม่ว่าวันนั้นจะดีหรือแย่ เราก็ยังสามารถมองสิ่งเล็กๆ และมีความสุขกับมันได้
“มีคนบอกว่า Slow life ไม่ใช่การที่วันๆ ไม่คิดอะไรเลย แต่คือการที่เราคิดกับมันอย่างลึกซึ้งและสนุกกับมัน”
You must be logged in to post a comment.