รู้สึกไหม ว่าคนยุคเราๆ (เจนวาย) ดูเหมือนจะขี้เหงากว่าคนรุ่นก่อน?
เราโหยหาความสัมพันธ์ทั้งแบบเพื่อนและแบบแฟน รวมถึงการยอมรับจากคนอื่น บางครั้งเราอยากอยู่ในสังคมคนมากๆ แต่เรากลับไม่เลือกที่จะเลือกเดินเข้าไปอาจเพราะเขาเป็นคนคุยกับคนไม่เก่ง หรือไม่ก็คนเหล่านั้นไม่ “ใช่” สำหรับเขา จนได้มีหลายกระทู้ในโลกออนไลน์ที่เขียนบ่นถึงเรื่อง “เพื่อน” หรือแม้แต่ “สเปคคนรัก” ในอุดมคติ
ทำให้หลายคนเริ่มย้อนมองดูตัวเองว่าเรามีเพื่อนกี่คน แล้วเราควรมีกี่คนถึงดี?
ในมุมมองเรา เราคิดว่าจริงๆ แล้ว น้อยคนที่อยู่ๆ จะถาม 2 คำถามข้างบนกับตัวเอง แต่เพราะเราเห็นคนรอบข้างโพสรูป หรือบอกเล่าถึงความสัมพันธ์ของเขากับคนอื่นๆ ต่างหาก ที่ทำให้เราเริ่มถามตัวเองว่าทำไมเราไม่มีความสัมพันธ์เช่นนั้น แบบคนอื่นๆ บ้าง
เราเห็นเพื่อนโพสรูปภาพไปเที่ยวทะเล ภูเขากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ เราก็นึกสงสัย ว่าทำไมเราไม่มีเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆ ที่พร้อมจะไปเที่ยวกับเราบ้าง
เราได้ยินเพื่อนร่วมงานเพิ่มเจอปัญหา แล้วบอกว่า “ฉันโชคดีมาก ที่มี ABC – เพื่อนสนิทอยู่ข้างๆ” เราก็สงสัยทำไมรอบตัวเรามีแต่คนรู้จักแต่ไม่มีคนที่เรียกว่ามิตรแท้บ้างเลย
เราเห็นคู่รักมากมายเดินจับมือ กอดเอวกันดูมีความสุข เราก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเราไม่มีใครสักคนที่มาอยู่ข้างๆ บ้าง….
เราเติบโตมาในสังคมที่ถูกสอนว่า เราควรเป็นแบบนี้ เราควรมีสิ่งนี้ จนหลายครั้งที่สังคมลืมสอนเราให้หยุดถามตัวเองว่าเราต้องการอะไรกันแน่
หลายคำถามที่เข้ามาก็เกิดเพราะเราเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นทั้งนั้น แต่จะไม่ให้เปรียบเลยก็คงไม่ได้ เพราะเราเป็นสัตว์สังคม คำว่าสัตว์สังคมไม่ได้หมายความว่าเราต้องมีเพื่อนฝูง คนรู้จักมากมาย แต่หมายความว่าเรามีธรรมชาติที่อยากรู้เรื่องราวของมนุษย์คนอื่นๆ
แล้วเราควรมีเพื่อนกี่คนดี หลายคนบอกว่าคุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ แล้วเราใช้มาตราส่วนอะไรวัดสิ่งเหล่านี้ล่ะ?
เราไม่มีคำตอบให้เรานะ แต่มีอะไรบางอย่างจะบอกให้ฟัง
- การที่เราไม่มีเพื่อนกลุ่มใหญ่ไว้แฮงเอาต์ แต่มีเพื่อนกลุ่มเล็กๆ ที่รู้ใจคุยได้ทุกเรื่องนั้นดีแล้ว แม้ว่าอาจไม่ได้ยินเสียงหัวเราะ หรือรูปหมู่แบบเยอะๆ แต่เพราะบางทีเวลาอยู่กับกลุ่มใหญ่ๆ (ไม่ใช่ทุกกลุ่ม) หลายครั้งที่การ hang out ก็เน้นไปที่ความสนุกเฮฮา ยากที่จะเปิดใจคุยเรื่องส่วนตัว … หรือเปิดใจให้คนนับสิบคน ถ้าไม่ได้สนิทกันมากๆ ก็คงอึดอัดนิดๆ ฯลฯ และบางครั้งกลุ่มใหญ่ คนเยอะ เรื่องก็เยอะนะ
- การที่เราไม่มีเพื่อนสนิทเลยสักคน แต่มีเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆ ก็ดีเหมือนกัน เพราะหมายความว่าถ้าเราเหงา เราเบื่อ เราไม่มีอะไรทำ มันก็น่าจะมีใครสักคนในกลุ่มที่ว่างออกไปกับเราได้ และไปเที่ยวกับกลุ่มใหญ่ก็สนุกดีนะ มักมีคนที่ทำให้เราหัวเราะได้ตลอดเวลา คนหนึ่งสองคนหายไป ที่เหลือก็ยังอยู่ 🙂
- การที่เราไม่ค่อยมีเพื่อนเลย ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เพราะเราก็ได้กลับมาคือเวลาว่างมากขึ้นมากมาย แทนที่จะเอาเวลาไปเมาท์มอยเรื่อยๆ เราก็มีเวลาเอาไปทำอะไรใหม่ๆ ซึ่งบางทีอาจทำให้เราได้คนใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต เขาอาจไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่แฟน แต่ก็มาในรูปแบบที่หลากหลาย ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เยอะแยะ ที่สำคัญคนที่มีเพื่อนไม่เยอะ ก็ไม่ต้องออกไปข้างนอกบ่อย ประหยัดเงิน ประหยัดเวลามีเวลาและเงินไปทำอะไรที่อยากทำเยอะแยะเลย
- การที่เราไม่มีแฟน/ คนรัก ก็ไม่ได้แย่นะ เราก็เอาเวลามาจัดการชีวิตของตัวเอง ทำในสิ่งที่เราอยากทำ เช่นวันหยุดสุดสัปดาห์เราก็วางแผนได้เลยว่าเราจะทำอะไร (ไปจ่ายตลาด ซักผ้า ไปเที่ยวในสวน ฯลฯ) เราวางแผนได้เป๊ะๆ
สุดท้าย เราว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเคารพตัวเอง รักตัวเองในแบบที่เราเป็น สังคมมักตีความว่าคนที่เป็นคนประสบความสำเร็จ คนในอุดมคติ มักต้องเป็นแบบนี้ๆๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคนก็มักเน้นไปที่การมีมนุษยสัมพันธ์ซึ่งก็ตีความกันออกมา ด้วยคำว่า “เพื่อน”
เริ่มจากตัวเรา สมัยอยู่มัธยมต้น กลุ่มเราคนเยอะสุดมั้ง สนิทด้วย เรื่องเพื่อนไม่มีปัญหาเท่าไหร่ แต่ตอนนั้นชีวิตก็มา suffer เรื่องเรียนมาก
- ตอนม.ปลาย เราก็มีเพื่อนในกลุ่มประมาณ 4 คน แบบค่อนข้างสนิท ฟังเราบ่นได้ทุกอย่าง 55 และก็มีเพื่อนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มแต่สนิทพอที่จะคุยกันได้อีกประมาณหนึ่ง (ไม่เยอะนะ) สมัยมัธยมโลกส่วนตัวสูง สันโดษมาก 55
- ตอนอยู่บอสตัน 2 ปี เอาจริงๆ คือแทบไม่มีเพื่อนสนิทเลย มีอยู่ 2 คน นับกันจริงๆ อาจเป็นแค่เพื่อนด้วยซ้ำ ไม่ได้สนิทขนาดนั้น
-
ตอนนี้… บอกไม่ถูกเพราะมันยัง in progress ความรู้สึกยังไม่ตกตะกอน 55 แต่เวลาอยู่กลุ่มคนไทยนัด Hang out ทีก็ไม่ต่ำกว่า 7 คนนะ เดี๋ยวไปสกีวันวาเลนไทน์ ฉบับคนไม่มีแฟนก็ไปกัน 8-9 คน
พอมองดูตรงนี้ ถามว่าเราเข้าสังคมได้ไหม มีมนุษยสัมพันธ์ดีไหม ถ้ามองทั้งหมด เราก็ตอบไม่ได้นะ แต่ถ้าคนมองตอนเราอยู่บอสตันอย่างเดียว หรือมาเจอเราตอนช่วงอยู่บอสตัน ก็คงแบบ ยัยนี่เป็นคนยังไง ไม่มีใครคบ ไม่คบเพื่อนเลยหรอ เข้ากับคนอื่นไม่ได้เลยป่ะ? (เวลาคนถามว่าทำอะไรก็ตอบไปสวยๆ ว่าทำงาน ไม่มีเวลา Hang out เอาจริงๆ คือตอนนั้นไม่ค่อยมีใครให้ hang out ด้วยต่างหาก)
สิ่งที่อยากบอกก็คือว่า
- ในชีวิตคนเรา มันมีจุดเปลี่ยนหลายครั้ง เปลี่ยนงาน เปลี่ยนโรงเรียน เปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนสถานภาพ ฯลฯ ซึ่งอาจส่งผลถึงความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และเรื่องเพื่อนด้วย อย่าทำให้ความเปลี่ยนแปลงภายนอกมาทำลายความมั่นใจและตัวตนของเรา เราเป็นแบบไหน เราก็รู้ตัวเราดีที่สุด
บางคนเป็นคนเพื่อนน้อยมากกกก แต่ก็อาจเป็นคนที่เฟรนลี่มากๆ มีน้ำใจสุดๆ ก็ได้ (ในชีวิตเรารู้จักอยู่คนหนึ่ง เป็นคนเพื่อนน้อยมากๆ ไม่ชอบการเข้าสังคมเลย แต่เป็นคนที่มีน้ำใจ คิดถึงใจคนอื่นแบบมากๆ) การมีเพื่อนเยอะ น้อย ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนดีมาก ดีน้อยกว่าคนอื่น - สิ่งที่จะทำให้เราเป็นทุกข์มากๆ คือการพยายามทำตัวให้เหมือนคนอื่น ทำตัวเองให้เป็นแบบที่คนอื่นๆ ว่าดี ภายนอกเราอาจทำได้สำเร็จ แต่ภายในเราจะทุกข์มากๆ เพราะมันไม่ใช่ตัวตนเรา เช่นการฝืนตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนบางกลุ่มที่เราก็ไม่ได้ชอบพวกเขาขนาดนั้น แค่อยากให้คนภายนอกมองว่าเรามีเพื่อนมาก มีเพื่อนดี ฯลฯ
แต่ถ้ากลัวเวลาเจอคำถามทางสังคมเช่นแบบว่า “มีเพื่อนเยอะไหม” “Hang out กับเพื่อนบ่อยเปล่า” แล้วกลัวตอบแล้วดูไม่ดีก็หาเหตุผลสวยๆ มาไว้ก็ได้ เช่นตอนบอสตัน เราก็ตอบไปสวยๆ ว่าทำงาน ไม่มีเวลา Hang out เอาจริงๆ คือตอนนั้นไม่ค่อยมีใครให้ hang out ด้วยต่างหาก 55 << แต่ก็ทำงานเยอะมากด้วยนะ เทอมสุดท้ายทำงานแบบ 30 กว่าชม. ต่ออาทิตย์ ช่วงนั้นเพื่อนไม่มี แต่เงินในกระเป๋ามีเยอะมาก 55 - ถ้ามีเวลาเหลือมาก เช่นไม่มีเพื่อน เพิ่งเลิกกับแฟน ก็เอาเวลาไปทำอะไรดีๆ กับตัวเอง ไปเที่ยวไกลๆ (คนเดียวก็เที่ยวได้ รอโพสหน้านะ) ออกกำลังกาย – ออกกำลังกายไปเลยทุกวัน ทำอาหารคลีนกินเอง อ่านหนังสือที่ชอบ ไปเรียนอะไรใหม่ๆ เช่นเรียนเต้น เรียนวาดรูป เย็บผ้า / ถ้าไม่มีเงินเรียนก็เอาเวลาว่างไปหางานพิเศษหาเงินแทน ไปทำงานอาสาสมัคร ไปตามหาความฝันวัยเด็กที่อยากทำแล้วเริ่มเลือนลางไปแล้ว
อย่าปล่อยให้เวลาที่ผ่านไป มัวแต่นั่งรำพึงกับเองว่า ทำไมเราไม่มีใคร ทำไมเราไม่เป็นแบบคนอื่น เอาเวลาไปทำอะไรใหม่ๆ ดู ทำคนเดียวก็ได้ - ทำอะไรคนเดียวไม่ใช่เรื่องแปลก อย่ากลัวที่จะกินข้าวคนเดียว ซื้อของคนเดียว ดูหนังคนเดียว เที่ยวคนเดียว เพราะเราก็เคยทำมาหมดแล้ว 55
- รักตัวเองมากๆ ไม่ว่าชีวิตวันนี้จะดีหรือร้าย อารมณ์ดี อารมณ์ไม่ดี สุดท้ายมันก็ไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนเลยสักอย่าง อย่าไปยึดติดกับสิ่งภายนอกมาก รวมถึงอย่ายึดติดกับอารมณ์ของตัวเราดี
มี Quote คำหนึ่งที่เราชอบมาก คือคำว่า Amor Fati แปลว่า Love your fate ให้รักโชคชะตาของคุณ รักชีวิตแบบที่เราเป็นนี่แหละ ในส่วนหนึ่งของชีวิตเราที่เรารู้สึกว่ามันเป็นข้อเสีย มันก็มีข้อดีอยู่ในนั้นด้วย หาให้เจอนะ
ตัวอย่างเช่น ตอนอยู่บอสตันไม่มีเพื่อนให้ Hang out และไม่มีเวลาไป Hang out กับเพื่อน แต่ก็ได้ไปทำงาน มีเงินในกระเป๋าพอจะสปอนเซอร์ตัวเองไปเที่ยวได้หลายที่ที่อยากไป ตอนนั้นอยากได้อะไรก็ซื้อได้เลย ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ / อยู่เบิร์กลีย์ มหาลัยดัง จบแล้วดี (มั้ง) แต่ตอนเรียนนี่หนักมาก หนังสือเยอะมาก ไม่มีเวลาไปทำงานเลย TT แต่ว่ามีเพื่อนนะ ไม่เคย hang out กับเพื่อนเยอะขนาดนี้ ถ้าไม่นับตอนมัธยมที่เจอหน้าเพื่อนทุกวัน / ตลอดมา – ตลอดไป ไม่มีแฟน ก็เลยอยากไปไหนก็ไป ไปคนเดียวก็ได้ หายเงียบไปเลยก็ได้ บอกแม่เอาไว้ก็พอ อยากทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องกลัวแฟนไม่พอใจ 55) เห็นป่ะ ทุกอย่างมันจะมีข้อดี ข้อเสียอยู่ในตัวมันเอง อย่าให้ความรู้สึกแย่ๆ มาบังเราไว้ก็พอนะ
สุดท้าย รักคนอื่นให้มากๆ ไม่ต้องรักมากกว่าตัวเอง รักให้เท่าตัวเองก็พอ แต่ให้รักแบบไม่ต้องหวังผลตอบแทน รักเขาโดยไม่ต้องหวังว่าเขาจะต้องรักเรากลับ ช่วยเหลือเขาโดยไม่ต้องหวังว่าเขาจะต้องช่วยเรากลับ แล้วเราจะรู้ว่าความรักนี้แหละ บริสุทธิ์และสุขที่สุดแล้ว 🙂
พี่เพรพคะ อันนี้ขอขอโทษพี่เพรพก่อนนะคะ ความคิดเห็นส่วนตัวเลยนะคะ ชอบพี่เพรพเขียนแทนตัวเองว่าเรามากกว่าค่ะ มันอ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นกันเอง เหมือนกำลังคุยกับพี่เลย แต่ถ้าพี่เพรพเปลี่ยนแล้วก้ไม่เป็นไรค่ะ เพราะยังไงก้ชอบอ่านบล้อกพี่เพรพเหมือนเดิม ถ้าเสียมารยาทยังไง ต้องขอโทษด้วยนะคะ พี่เพรพลบคอมเม้นนี้ก้ได้ค่ะ
พี่ก็ชอบใช้เรามากกว่าค่า 55
อันนี้เรื่องรูมเมตกับบางโพสพอดีไปเขียนลงเว็บอื่นก่อนมาลงบล็อกตัวเอง (ที่นู่นเห็นคนใช้ฉันเยอะ เลยตามแบบเขาไป) ถ้าเขียนลงบล็อกนี้เป็นอันแรกคงใช้เราเหมือนเดิมค่ะ…ใช้ฉันแล้วมันแข็งๆ รู้สึกได้55
ไม่เป็นไรเลยค่ะ ถ้ามีอะไรอยากเสนอ อยากให้เปลี่ยนหรืออะไรบอกได้ตลอดเลยค่ะ พี่ก็พยายามลอง พยายามหาอะไรใหม่ๆ ไปเรื่อย ชอบฟังฟีดแบ็คมากค่ะ:) แบบไหนก็รับได้หมดค่า
รินชอบสิ่งที่พี่เขียนมากเลยค่ะอ่านแล้วรู้สึกสบายใจ เหมือนกับว่าได้เข้าใจความรู้สึกของตนเองมากขึ้น อีกอย่างเหมือนกับว่าได้ปลดปล่อยบ้างอย่างที่เราสับสนและก้็ค้างคาใจออกไป ขอบคุณนะค่ะที่เขียนอะไรดีๆแบบนี้มาให้อ่าน
ขอบคุณนะคะ น้องริน ดีใจที่ชอบค่ะ:)
พี่เขียนได้ประทับใจมากๆ เพราะตอนนี้ก็suffer มากๆเลยไม่รู้จะไปหากำลังใจจากไหน แต่ก็มีโพสต์ของพี่นี่แหละที่มาช่วยไว้ ทำให้รู้สึกว่าที่เรากำลังเจออยู่มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น ขอบคุณพี่เพรฟนะคะ
ดีใจที่ชอบนะ 🙂 สู้ๆ ไม่มีชีวิตใครแย่ ชีวิตใครดีหรอก อยู่ที่เรามองทั้งนั้นแหละ จุดที่เราว่าแย่ ก็ยังมีหลายคนที่อยากมาอยู่จุดนี้เพราะรู้สึกว่ามันดี