เชื่อว่าเรื่องที่น่ารำคาญสำหรับคนไทยที่มาเที่ยวหรือมาอยู่อเมริกาใหม่ๆ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “การให้ทิป”
15% คืออย่างต่ำ นับเป็นจำนวนเงินไม่น้อย
โดยเฉพาะเมื่อคูณกับค่าอาหารแปลงหน่วยกลับเป็นเงินไทย
ตอนมาอยู่อเมริกาใหม่ๆ ฉันก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้สึกไม่ชอบการให้ทิปเท่าไหร่
….ทำไมต้องให้ทิป ทำไมไม่คิดรวมไปเลย แค่ยกอาหารมาเสิร์ฟต้องให้เงินมากมายขนาดนั้นเลยหรือ?
บางคนบอกว่า การให้ทิปเป็นมารยาท
แต่ 3 ปีในอเมริกาของฉันบอกว่า ทิปคือวัฒนธรรม เป็น Customs หรือธรรมเนียมปฏิบัติมากกว่ามารยาทหรือ “น้ำใจ”
นึกถึงเวลา 8 โมงเช้า หรือ 6 โมงเย็น ที่เราต้องหยุดยืนตรงทุกสถานที่สาธารณะ
สำหรับคนต่างชาติก็อาจมองว่าเป็นเรื่องแปลก (และเสียเวลาไม่น้อย…ตั้ง 1 นาทีเลยนะ)
สำหรับการให้ทิปในอเมริกา คนต่างชาติอย่างเราๆ ก็คงมองว่าเป็นเรื่องไม่คุ้นชินเช่นกัน
เมื่อก่อน ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบให้ทิป
เรียกว่าถ้าจำเป็นต้องไปกินในร้านจริงๆ (ปกติซื้อกลับบ้าน จะได้ไม่ต้องเสียค่าทิป)
ก็จะให้ทิปแบบ 15 เปอร์เซนต์เป๊ะๆ
จนตอนหลังที่มาทำงานในร้านอาหาร และร้านสปาไทย
การให้ทิปนอกจากจะเป็นรายได้ของพวกเขา มันยังเป็นกำลังใจ เป็นแรงกระตุ้น เป็นความสุขอย่างหนึ่งเลย
ณ เคาร์เตอร์ ร้าน fast food ที่ฉันทำ ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ลูกค้าหย่อนธนบัตร 1 เหรียญ หรือเศษเงินลงในกระปุกหน้าร้าน
(ร้านที่ฉันเคยทำ ไม่จำเป็นต้องให้ทิป เพราะเป็นร้านซื้อกลับบ้าน)
แค่ 1 เหรียญ สำหรับคนที่มาซื้อ ฉันเชื่อว่ามันไม่ได้ให้ความรู้สึกแตกต่าง
ผัดไทยราคา 8 เหรียญหรือ 9 เหรียญ แทบไม่ได้ใส่ใจ
แต่สำหรับคนทำงานอย่างฉัน 1 เหรียญนั้น ในแง่ของความรู้สึก มันมีค่ามากมาย
หลายคนอาจคิดว่าทำไมต้องให้เงินมากมายกับคนที่แค่มาจดออร์เดอร์และยกจานออกมา
แต่สิ่งหนึ่งที่ลูกค้าไม่เห็นคือ ตั้งแต่กระจกหน้าร้าน จนถึงห้องน้ำก็ได้คนที่มาจดออร์เดอร์นี่แหละเป็นคนทำความสะอาด
ยังไม่นับงานจุกจิกมากมายในร้าน
งานของพนักงานเสิร์ฟ จึงไม่ใช่แค่ยกอาหารออกมาเสิร์ฟแล้วจบ แต่มันมากกว่านั้น
เกือบ 2 ปีกับการเปลี่ยนตัวเองจากคนเบื้องหน้ามาเป็นคนเบื้องหลัง
ทำให้ฉันตระหนักได้อย่างหนึ่งว่า เมื่อจุดยืนของเราเปลี่ยนไป
ความรู้สึก และความคิดต่อสิ่งเดิมๆ ก็เปลี่ยนไป
ถ้าเราอยากเข้าใจมุมมองของคนอื่น ก็แค่หันไปมองมุมที่เขากำลังมองอยู่
เหมือนฉัน ที่เมื่อก่อนรู้สึกไม่ชอบและไม่แฮปปี้กับการต้องให้ทิป
แต่วันนี้การให้ทิปกลับเป็นความสุขอย่างหนึ่งของฉัน
อาจเพราะฉันรับรู้ได้จากมุมมองของคนรับ ว่าเขามีความสุขต่อสิ่งนี้มากแค่ไหน
แค่ฉันยอมไม่กินกาแฟหรือชาไข่มุก 1 แก้วก็เพียงพอกับค่าทิปแล้ว
คิดแค่นี้ การให้ทิปก็ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงอะไร
ความสุขของคนรับก็คือความสุขของคนให้เช่นกัน
ฉันเชื่ออย่างงั้น
You must be logged in to post a comment.