(True Story) เมื่อรูมเมตฉันฆ่าตัวตาย

Sad woman sitting alone near window

มีข่าวเรื่องการฆ่าตัวตายที่เป็นกระแสกับละครดังหลังข่าวที่ฉายเกี่ยวกับเรื่องนี้ไป
เราเลยอยากมาเล่าประสบการณ์เมื่อปีก่อน
‘เมื่อรูมเมตฉันฆ่าตัวตาย’ (ในห้อง) และสิ่งที่เราได้เรียนรู้
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน อยากให้อ่านจนจบนะคะ

1.
4 ทุ่ม คืนวันอังคาร กลางเดือนตุลาฯ
วันอังคาร เรามีเรียนตั้งแต่ 8 โมงเช้าจนถึงเที่ยง
เรียนเสร็จก็ตรงกลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง ไม่ได้ออกไปไหน
บอกก่อนว่าห้องที่เราอยู่อยู่ในหอพักนักศึกษา
เป็นห้องชุด มี 5 ห้องนอน อยู่ชั้น 6 เราหกคนแชร์ห้องน้ำเดียวกัน
ใช้ประตูใหญ่เข้าห้องบานเดียวกัน
คืนนั้น เราหลับไปตั้งแต่ 1 ทุ่ม

กรี๊ดดดดด เห้ย……. What? )%*^&$)&)%
‘แม่ง เล่นอะไรกันอีกละ’
เสียงกรีดนอกห้องปลุกเราขึ้นมา เราได้แต่ด่าในใจ เพราะบางทีพวกนี้ก็ชอบพาเพื่อนมาเล่นเสียงดังกันไม่เกรงใจ
เราพยายามข่มตาให้หลับ ท่ามกลางเสียงคนเดินไปมาด้านนอกให้วุ่น

สักพัก
“Stella, I’m sorry to wake you up but you need to get out now”
รูมเมตเคาะห้อง ไล่ให้เราออกไปจากห้องตัวเอง
เราลืมตาตื่น สะลึมสะลือ หยิบเสื้อหนาวและมือถือติดมือออกมาแบบงงๆ
ยังไม่รู้ว่าต้องเอาตัวเองไปไว้ที่ไหน
ในยาม 4 ทุ่ม เมื่อถูกบอกให้ออกจากห้องพักในต่างแดน เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรทำยังไงต่อไป

2.
ในความสับสน เราพยายามหาทางออก

เราเดินออกจากห้องสวนกับ รุ่นพี่ที่เป็นคนดูแลชั้นและตำรวจ
สีหน้ารุ่นพี่เขาเคร่งเครียด และการปรากฎตัวของตำรวจบอกเราว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา
เขาบอกเพียงว่าให้เราไปนั่งรอที่ชั้นอื่นก่อน
เรารั้งเขาไว้ ในใจมีคำถามมากมาย แต่ปากพูดออกไปได้แค่ว่า “มันมีอะไรเกิดขึ้นที่ห้องของฉันใช่ไหม”
สีหน้าลำบากใจของเขาคือคำตอบ

เราร่อนเร่ลงไปอยู่ชั้น 5 เช็คดูในกลุ่มเฟสบุ๊ค เขาบอกว่าให้คนในชั้น 6 ที่ยังตื่นอยู่ไปรอกันที่นั่น
เรามาถึงก่อนเป็นคนแรก
…เปิดมือถือดูก็เจอข้อความที่เจ้านาส่งมาต่อว่าเรื่องทำงานผิดพลาด พร้อมกับลดจำนวนวันทำงานลงอีก
ได้แต่นึกในใจ… วันนี้มันเป็นวันอะไรวะ

พอคนอื่นลงมาแต่ละคนก็ยังปกติเพราะไม่มีใครรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น
มีหลายคนพุ่งเข้ามาถามเรา เพราะรู้ว่าเราเป็นคนเดียวอาศัยอยู่ในห้องนั้น
เราตอบไปว่าไม่รู้…เจนมาเคาะห้องบอกให้ฉันออกมา
ทำได้เพียงภาวนาให้รูมเมตที่เหลือลงมาเร็วๆ

การรอคอยท่ามกลางความสับสนมันช่างทรมาน
เราไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
และ เราก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดต่อจากนี้
ที่สำคัญ เราไม่รู้แม้กระทั่งเราควรทำตัวอย่างไร อารมณ์ไหนและควรเอาตัวเองไปไว้ที่ไหน

สักพัก รูมเมตเราอีก 3 คนเดินลงมา
สีหน้าแต่ละคนแย่มาก ทุกคนเลยหยุดคุยกัน หันไปถาม
หนึ่งในนั้น บอกว่ารูมเมตคนหนึ่งในห้องพยายามฆ่าตัวตาย..พูดได้แค่นี้นางก็ร้องไห้
เราก็พยายามปลอบนางบอกว่าไม่เป็นไร
ในใจเราก็คิดว่าคงไม่มีอะไรมาก เพราะตำรวจก็มาแล้ว รถพยาบาลก็มากันเต็ม
แถมหลังหอพักเราก็เป็นโรงพยาบาลชื่อดังประจำเมือง

ยังไม่ทันคิดหาประโยคมาปลอบใจตัวเองได้ครบ
คนดูแลหอที่เราเดินสวนตอนออกจากห้องก็ลงมาบอกง่ายๆ สั้น ได้ใจความว่า
….. She passed away……(เขาจากไปแล้ว…ตลอดกาล)

เหมือนมีเมฆสีเทามาคลุมท้องฟ้ากลางคืนฤดูใบไม้ร่วงให้มืดมิดกว่าเดิม
แสงดาวคืนนี้ช่างริบหรี่เหลือเกิน

3.
กลางวันนั้นสั้น ค่ำคืนนั้นยาวนานเสมอ

เราไม่ได้นอนตลอดคืน
พวกเราลงไปรวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นชั้น 5
มีตำรวจ นักจิตวิทยามหา’ลัย คนดูแลหอ ผ.อ. มหาลัย มากันครบ
ดูก็รู้ว่าเจ้าหน้าที่มหา’ลัยหลายคนถูกโทรตามมาจากบ้าน

มีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งร้องไห้หนักมาก
“เป็นเพราะไอ ไอทำให้เขาฆ่าตัวตาย”
เพื่อนคนนี้เล่าว่า วันก่อนเกิดเหตุ เขาแกล้งล้อเพื่อนคนนี้ขำๆ เบาๆ (เป็นกลุ่มเด็กปี 1)
และเพื่อนคนนี้โกรธมากจนเขาเองก็งง
ว่าทำไมเล่นแค่นี้ถึงโกรธจริงจัง
ผู้ชายพยายามไปเคาะห้อง ขอโทษกี่ครั้งก็ไม่ได้รับคำตอบ
เหมือนเป็นการจากไปทั้งที่ยังค้างคา
เหมือนเป็นการจากไปที่ทิ้งให้คนที่มีชีวิตอยู่รู้สึกผิดไปชั่วชีวิต

เราจำรายละเอียดชัดเจนไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในคืนนั้น
วุ่นวาย สับสนและเต็มไปด้วยอารมณ์ต่างๆ ฟุ้งไปหมด
แต่ยังไงก็นึกขอบคุณความมืออาชีพของตำรวจอเมริกา
ที่ทำงานได้เรียบร้อย ไม่มีคนมามุง และไม่ต้องมีภาพหลุดใดๆ ณ สถานที่นั้นออกมา

4
รักษาหัวใจตัวเอง

สิ่งที่ยากกว่าคืนนั้นคือเราจะเอาอย่างไรต่อ
ห้องพักอื่นในมหา’ลัยเต็ม เป็นนัยๆ ว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนห้องได้
เราไม่สามารถย้ายออกได้ เพราะไม่มีที่ให้อยู่
เราไม่อยากไปแชร์ห้องกับคนอื่น เพราะกว่าเราจะแย่งชิงห้องเดี่ยวมาได้ก็ยากจะตาย
สรุปคือ เราต้องอยู่ที่เดิม

คืนแรก
เราพยายามกลับไปนอนที่ห้องตัวเอง นอนหลับไปได้ 3-4 ชั่วโมงก็ตื่น แล้วก็นอนต่อไม่ได้
ต้องอพยพตัวเองไปที่ห้องนั่งเล่นของชั้น 6
นอนไปก็เห็นภาพไป ว่าเขาเคยอยู่ตรงนี้ เคยมานั่งเล่นตรงนี้
รู้สึกเหมือนเขาอยู่ข้างๆ มีพลังงานไหลวนอยู่เพียงกำแพงบางๆ กั้นไว้
(ห้องเขาเป็นห้องแรก ที่ต้องเดินผ่านเมื่อเปิดจากประตูใหญ่)

มันเป็นความรู้สึกที่โคตรชัดเจนทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีอยู่จริง
เป็นครั้งแรกที่กลัวตัวเอง
….เหมือนอาการของคนบ้า

เราเป็นคนเพ้อฝัน เพ้อเจ้อ ช่างจินตนาการ
แต่มันไม่เคยหนักถึงขั้นที่บังคับตัวเองไม่ได้ขนาดนี้
ใจคนช่างน่ากลัว

คือช่วงเวลาที่บอกให้เรารู้ว่า ความคิดของเรานี่แหละน่ากลัวที่สุด
มันสร้างภาพหลอนได้มากมายจริงๆ

คืนต่อมาเราย้ายไปนอนห้องเพื่อน
ทุกๆ คืนเราจะพยายามนอนห้องตัวเองให้ได้
ก่อนนอน เราเห็นความฟุ้งซ่านมากมายในความคิดของเรา
วิญญาณเขาอยู่แถวนี้ไหม / ทำไมเหมือนรู้สึกว่าเขามาอยู่ในห้องเราวะ ฯลฯ

โชคดีที่เราเคยนั่งสมาธิ ฝึกมรณานุสติมาก่อน
เราเลยใช้วิธีรู้ทันจิต ไม่ต้องพยายามไปหยุดความคิดนั้นๆ (เพราะลองแล้วมันไม่ได้ผล)
แค่ตระหนักรู้ว่าตอนนี้เรากำลังคิดนะ
มองความคิดเป็นสิ่งหนึ่งที่แยกออกมาจากตัวเรา
บอกตัวเองว่าความคิดพวกนั้นล้วนเป็นสิ่งที่เราปรุงแต่ง จินตนาการขึ้นมาทั้งนั้น

มันคือช่วงชีวิตที่เรารู้สึกกลัวมากๆ (ทั้งที่ปกติไม่ค่อยกลัวอะไร)
ช่วงขณะนั้น ทำให้เรารู้ว่าเส้นแบ่งระหว่างคนจิตปกติกับคนบ้ามันบางแสนบาง
และถ้าวันนั้น เราดึงใจเราออกมาจากความคิดปรุงแต่งไม่ได้ ตอนนี้เราอาจเป็นคนไข้ที่กำลังรักษาตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้

5.
เราได้เจอพ่อเขา ไม่กี่วันต่อมา (ครอบครัวเขาอยู่ต่างเมือง)
พ่อไม่ได้ปลอบพวกเรามากนัก เหมือนลึกๆ จะยอมรับว่าวันนี้ก็มาถึง
เขาเล่าเรื่องราวของลูกสาวในมุมที่พวกเราไม่เคยรู้ให้ฟัง

สิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นแน่ๆ กับคนรอบข้าง หลังเหตุการณ์ฆ่าตัวตายก็คือ ความรู้สึกผิดหรือบาปในใจ
– ผู้ชายคนนั้นที่ทะเลาะกันโทษตัวเอง “ไม่น่าไปแกล้งเลย TT” “ผมทำให้เขาต้องตาย”
– เจน หนึ่งในรูมเมต คาดว่าเป็นคนที่เห็นเพื่อนที่ตายเป็นคนสุดท้าย เจนบอกว่าตี 1 ของวันอังคาร เขารู้สึกว่าเพื่อนคนนั้นท่าทีแปลกๆ “ฉันน่าจะชวนคุย น่าจะ….”
– รูมเมตอีกคนเป็นคนที่สนิทกับคนตายมากที่สุด “ฉันไม่น่าไปนิวยอร์คเลย (นางเพิ่งกลับจาก นิวยอร์คบ่ายวันอังคาร) ถ้ายังอยู่ก็คงไม่เกิดขึ้น”
เราเชื่อว่าพ่อ แม่ (คนตายโทรคุยกับแม่เขาเป็นคนสุดท้าย) เพื่อนคนนอร์เวย์ (เป็นคนที่คนตายบอกว่าจะฆ่าตัวตายคืนนั้น และเพื่อนคนนอร์เวย์ก็ส่งข้อความมาบอกรูมเมตคนที่ไปนิวยอร์ค) ฯลฯ ก็คงคิดเช่นนั้น

Life hurts a lot, more than death

มันเต็มไปด้วย ถ้าฉัน….. “ถ้า”ที่ไม่มีประโยชน์ที่จะคิด เพราะมันย้อนเวลากลับไปไม่ได้อีกแล้ว

เมื่อฟังจากพ่อเขา เรารู้ว่าการฆ่าตัวตายนั้นไม่ใช่ความผิดของใคร…รวมทั้งคนที่ฆ่าตัวตาย
– พื้นฐานครอบครัวนี้มีฐานะ เพราะมหาวิทยาลัยของเราเป็นม. เอกชน ค่าเทอมแพง
– เพื่อนคนนี้เรียนเก่งนะ เป็นนร. ในโครงการเกียรตินิยมของม.
– เขาฆ่าตัวตาย เช้าวันอังคาร (หมายความว่าเราเดินผ่านห้องที่มีคนตายอยู่ข้างในตลอดทั้งวัน =_=)
– ลูกสาวเขาเป็น Anxiety (โรควิตกกังวล) มาเป็นสิบปีแล้ว และเพิ่งเป็น Depression เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา << จากที่อ่านบทความมา โรควิตกกังวลมีปัจจัยทำให้เสี่ยงต่อการเกิด depression มากขึ้น
– เขาเคยพูดว่าอยากตายหลายครั้ง (ไม่ชัวร์ว่าเคยฆ่าตัวตายหรือเปล่า)
– เขาอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ เลยตัดสินใจย้ายรัฐมาเริ่มต้นชีวิตม.ใหม่ที่นี่ ฯลฯ
– คืนก่อนตาย เขาโทรคุยกับแม่ของเขา บ่นว่าอยากตายเหมือนเดิม แม่เขาคิดว่าจะโอเคเลยไม่ได้ทำอะไร


เราได้เรียนรู้อะไรกับสิ่งนี้บ้าง?

  • เราเรียนรู้ว่าคนเรามีความเข้มแข็งทางจิตใจไม่เท่ากัน (ทั้งจากร่างกาย สมอง และสังคมที่เติบโตมา) ในสังคมเรามักสอนและพยายามผลักให้คนเป็นในแบบที่คนส่วนใหญ่เป็นโดยลืมมองสภาพตัวตนของเด็กคนนั้น
    เช่น ถ้าเป็นเราถูกล้อให้ตายก็ไม่ได้จะทำให้เราฆ่าตัวตาย แต่อย่างเพื่อนคนนี้เขามีตะกอนในใจว่าอยากตายอยู่แล้ว มันนิ่งอยู่ก้นใจรอวันที่จะประทุออกมา
    พอถูกล้อทำให้โกรธ มันก็เหมือนไปกวนตะกอนนั้นขึ้นมา อารมณ์ตอนนั้นก็เป็นเหมือนลมที่พัดก้นตะกอนนั้นให้เป็นพายุ จนสุดท้ายเขาถึงเลือกที่จะจบชีวิตลง

  • เป็นครั้งแรกที่เรารู้จักโรคซึมเศร้า(Depression) แบบจริงๆ จังๆ และรู้ว่า Depression นี่แหละตัวฆ่าคนตายเลย
    สาเหตุการตายของวัยรุ่น (ของอเมริกา) อุบัติเหตุ ฆ่าตัวตายและถูกฆ่าตาย ซึ่งฆ่าตัวตายสูงกว่าถูกฆ่าอีก อัตราคนเป็นโรคซึมเศร้าของอเมริกาประมาณ 6.7 เปอร์เซนต์ (ใน 100 คนมี 6-7 คนที่เป็น) มากกว่าครึ่งของคนที่ฆ่าตัวตายเป็น Depression และ 15 เปอร์เซนต์ของคนป่วยตายจริงๆ จากการฆ่าตัวตาย (มีมากกว่านี้ที่พยายามฆ่าแต่ไม่ตาย)
    และมันไม่ใช่จะดูออกง่ายๆ ถ้าไม่สนิทกันจริง อย่างเพื่อนเรา เจอหน้ากันทุกวันมาเกือบ 2 เดือนยังไม่มีใครรู้เลยว่าเขาเป็น Depression เจอนางก็หัวเราะ ชวนเล่นเกมส์ ชวนไปเดินเล่น เฮฮาตลอด ในรูมเมตทุกคน เขาเป็นคนสุดท้ายที่เราคิดว่าจะเป็น Depression อ่ะ (เรายังเหมือนคนเป็นมากกว่าอีก วันๆ ไม่ค่อยคุยกะเมต << ขี้เกียจพูดอังกฤษ 55)

-ระบบที่ดีช่วยเยียวยาใจได้
ถึงเราจะโคตรอยากรู้ อยากเผือกว่าตายยังไง เจอท่าไหนฯลฯ แต่ตำรวจก็ไม่มีใครพูดถึง รวมทั้งคนที่เห็น (คนที่เปิดประตูเข้าไปเห็น พอเห็นปุ๊บเขารีบปิดประตู แล้วบอกรูมเมตเราที่กำลังจะชะเง้อเข้าไปว่าให้ไปแจ้งตำรวจ)
ถ้าเป็นที่ไทยคงมีข่าวลงเกลื่อนไปหมด ในม.ฝรั่งก็ไม่เม้าท์เรื่องนี้เยอะ พอไม่ถูกตอกย้ำ สภาพใจเราก็ค่อยๆดีขึ้น
การเก็บคดี การประกาศข่าวการตาย การเคารพสิทธิส่วนบุคคล เป็นสิ่งหนึ่งที่เราชอบมาก ในประเทศนี้ (อเมริกา)

  • ดีกับคนอื่นเสมอ
    เราไม่รู้พื้นหลังเขา เราไม่รู้ว่าเขามีภูมิต้านท้านต่อความกดดันให้ดีแค่ไหน เพื่อสภาพจิตใจของตัวเราเอง เราก็เลยเป็นคนที่ระมัดระวังเรื่องคำพูด รวมถึงการแกล้งคนอื่นมากขึ้น เราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะยังเจอกันอีกไหม (เขาอาจไม่ได้ฆ่าตัวตายก็ได้ แต่อาจจากไปด้วยสาเหตุอื่น)

ถ้าเรื่องของชาติหน้ามีจริง
เราเชื่อว่าความรู้สึกสุดท้ายของชาตินี้จะสานต่อไปยังชาติหน้า
บางคนต่อให้เราไม่อยากเจออีกแล้ว เราก็จะไม่จากเขาด้วยความรู้สึกเกลียด โกรธ แค้น (ไม่งั้นชาติหน้าได้เจอกันอีกแน่นอน)
ถ้าเราทำผิด เราจะรีบขอโทษและเคลียร์ให้จบทันที (เป็นคนปากไม่ค่อยดี เวลาสติไม่มี 55)
อย่างน้อยการขอโทษ คือการขออโหสิกรรม เขาให้หรือเปล่าไม่รู้ แต่เราพยายามที่สุดแล้ว

  • สุดท้าย ทำให้เราต้องปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิต่อไป
    เราเป็นพวกสายนั่งๆ หยุดๆ แล้วกลับมาทำใหม่ มันอาจไม่มีพัฒนาการอะไรเท่าไหร่ แต่ ณ ตอนที่เราฟุ้งซ่านก็ขอบคุณการทำสมาธิที่ผ่านมานี่แหละ ที่ช่วยให้เรารู้ทันความคิดที่กระจัดกระจายฟุ้งๆ ของตัวเองได้
    ท้ายที่สุด ไม่รู้สิ เราแค่ไม่ชอบคนที่ซ้ำเติมคนที่ฆ่าตัวตายเท่าไหร่
    “แค่นี้ทนไม่ได้ก็ตายๆ ไปเลย”
    “ใครก็เจอเรื่องแบบนี้กันทั้งนั้น”
    “ไม่สงสารพ่อแม่” ฯลฯ

มองในมุมเขา ถ้าเขาทนได้ เขาจะฆ่าตัวตายไหม
สัญชาตญาณมนุษย์ต้องการมีชีวิตรอด… อะไรทำให้เขาเดินสวนกับธรรมชาติขนาดนั้น
เรามองว่าคนที่พยายามฆ่าตัวตาย คือคนที่มีแผลในใจอย่างบอบช้ำ
เป็นคนป่วยอย่างหนึ่ง มีบางอย่างในร่างกายเขาที่ทำให้เขารู้สึกไม่โอเค

คนที่ฆ่าตัวตาย
สำหรับเรา ต่อให้ทำเพื่อเรียกร้องความสนใจหรือลงมือทำจริงๆ
เรากลับสงสารพวกเขา…..

Comments are closed.

Create a website or blog at WordPress.com

Up ↑

%d bloggers like this: