ปี 2017 ช่วงครึ่งปีแรก คือช่วงที่ชีพจรลงเท้ามากกกกกก มากแบบเห็นตารางการเดินทางตัวเองแล้วยังแบบเฮ้ย! บินเยอะกว่านี้ก็ไปสมัครแอร์เหอะ (แต่ส่วนสูงไม่ถึง 55) คือชีวิตทำสองอย่างคือเรียน กับเที่ยว อ่านหนังสือจบเมื่อไหร่ก็วางแผนเที่ยวทันที
เป็นช่วงชีวิตที่มี motivation มากกกก ที่สุดช่วงหนึ่ง
4 ทวีป 9 ประเทศ
สวิส ฝรั่งเศส อเมริกา เปรู ไทย เวียดนาม ลาว พม่า เกาหลี
ไหนๆ ก็ใกล้ถึงปลายปีและหมดโควต้าเที่ยวแล้ว (เพราะเงินหมด TT) เลยมาขอบันทึกความทรงจำของแต่ละทริปในปีนี้ดีกว่า
1.สวิส ฝรั่งเศส
เป็นทริปมรดกตกทอดมาจากช่วงสิ้นปีที่แล้ว
ปิดเทอมฤดู หนาว เราจะไม่เหงาเฝ้าบ้านคนเดียว เก็บกระเป๋าพร้อมและมุ่งตรงไปยุโรปทันที สาเหตุที่ต้องเป็นยุโรปเพราะน้องเราไปเป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่นู่น จะได้ให้มันพาเที่ยวและถ่ายรูปให้
เราเริ่มต้นจาก Frankfurt เยอรมัน / ไฮเดนเบิร์ก (ได้ฝึกเยอรมันที่ไม่ได้ใช้ในรอบ 6 ปี มีความจำไม่ได้เยอะมาก) เที่ยวลงมาถึงอิตาลี มิลาน ฉลองคริสมาสที่คลองน้ำเน่า ในเวนิซ นั่งรถไป ฟรอเรนซ์ เพื่อไปยันหอเอียงปิซ่าแล้วก็โบกมือลาน้องสาว แยกตัวออกมามุ่งไปเป็นสาวฝรั่งเศส
วันปีใหม่เรานั่งรถมุ่งตรงไปที่เมืองโลซานซ์ อยากไปตามรอยในหลวง วิวตรงหน้าคือสวยต้อนรับปี 2017 มาก เป็นภาพเมฆหมอกตลอดทางที่ปกคลุมภูเขา ดูลี้ลับน่าค้นหา แล้วแสงอาทิตย์ยามสายก็ค่อยๆ ละลายมวลเมฆออก เหมือนเปิดม่านให้เราเห็นวิวชัดเจน
เราเป็นคนแพ้เมฆ แพ้แสงอาทิตย์อ่อน แพ้ภูเขา แบบโอ้ย สวยมาก และง่วงมากด้วยยยยย
- หมู่บ้านพลัม
หนึ่งในจุดหมายหลักของเราคือการได้ไปนอนค้าง พักผ่อน ปฏิบัติธรรมเบาๆ ที่หมู่บ้านพลัมฝรั่งเศส ถือเป็นการสะสมแต้มบุญประจำปี ให้ช่วยมีสติและอยู่กับปัจจุบันเยอะๆ ช่วงนั้นเราจิตฟุ้งซ่านเรื่องเรียน เรื่องชีวิต เรื่องสารพัดสิ่ง
เราได้ยินชื่อหมู่บ้านพลัมฝรั่งเศสมานานแล้ว เลยมีโอกาสมาเยี่ยมเยียนสักที 🙂
ถ้ามีโอกาสและว่างพอ จะมาเขียนรีวิวยาวๆ นะค้า - ปารีส 1 วัน
เรามีเวลาเที่ยวปารีสแค่ 1 วันเท่านั้น ถึงปารีสสำหรับเราจะไม่ได้รู้สึก โอ้ ว้าว อะเมซิ่ง แต่แค่ได้เดินลูบๆ คลำๆ ร้านหนังสือเก่าและใหม่ ชิมขนมหวาน ดูวิธีชีวิตของคนที่ผสมกับนั่งท่องเที่ยวจนมีจังหวะชีวิตแบบใหม่ก็คุ้มแสนคุ้ม
แด่ปัญหาในชีวิต
ทริปยุโรปต้นปี เป็นอีกทริปที่ปัญหาเยอะที่สุด เท่าที่เราเคยเดินทางมา (และเป็นทริปที่ยาวที่สุดที่เราเคยเที่ยวมาด้วย)
- กระเป๋าเดินทางไม่มา ->>>>> เราเดินทาง 1 เดือนโดยไม่มีกระเป๋าเดินทาง ติดต่อทาง agent เกือบทุกวัน มันก็ตอบไม่ตรงกันสักที งงมากว่ากระเป๋าฉันอยู่ไหน สรุปคือต้องหาซื้อของเฉพาะหน้าไปพลางๆ ซึ่งยุโรปหนาวมาก และเสื้อผ้าหน้าหนาวเราขาดแคลนมาก (TT)
- ร่างกายพัง >>>> ปกติเราเป็นคนปวดหลังอยู่แล้ว แต่รอบนี้เราปวดเข่าหนักมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเดินมากไปหรืออากาศหนาวไป เดินไปแล้วเหมือนคนเป็นข้อเข่าเสื่อม พังมากชีวิต
- หาซื้อสายชาร์จกล้องไม่ได้ >> เพราะกระเป๋าหาย เราเลยไม่มีสายชาร์จกล้องและมันเป็นรุ่นโบราณ เกือบตาย ต้องใช้สายต่อแบบผิดรุ่น ซึ่งก็ต่อได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เป็นการเดินทางที่ลุ้นมาก กลัวไม่มีภาพสวยๆ เก็บไว้
- แต่สิ่งที่เลวร้ายขึ้นชื่อจากยุโรปอย่างโดนปล้น โดนขโมย วางระเบิด อันนี้ไม่โดนเลยน้า เพราะเราแต่งตัวกลมกลืนไม่ค่อยเหมือนเป็นนั่งท่องเที่ยว (วิธีคือ ใส่เสื้อหนาวสีเข้มๆ เข้าไว้)
ทริปนี้สอนให้รู้ว่า
- จงใช้ร่างกายอย่างถนอม
- ปัญหาทุกอย่างมีทางออก อย่าเครียดไป (กระเป๋าหายทำเครียดมากนะเธอ แต่หลังจากนี้ เราไม่กลัวปัญหากระเป๋าหายแล้ว คือไม่มีกระเป๋าเราก็เที่ยวได้ มีชีวิตได้) ตั้งแต่นั้น ทำให้เราแพ็คของน้อยลง ยึดติดกับของน้อยลงเยอะเลย
2. อะเมซิ่ง เปรู
ไปอ่านฉบับเต็มได้ในพันทิปนะค้า
Inca Trail เดินเท้า 4 วัน 3 คืนสู่ ‘มาชูปิกชู’ เส้นทางสายฝันข้างๆ เขา (ผญ. คนเดียวก็เที่ยวได้)
เล่าละเอียดยิบแบบไม่มีกั๊ก สาเหตุหลักๆ ก็คืออยากไปเที่ยวอเมริกาใต้นั่นเอง เอาเปรูเป็นหนูทดลองว่าจะชอบไหม สรุปคือชอบมาก และตั้งใจจดใจจ่อ (หาเงิน) จะไปเที่ยวอเมริกาใต้ให้ได้อีกครั้ง นานๆ ยาวๆ ครอบคลุมหลายที่
3. เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา
ตอนแรกมี 2 ตัวเลือกว่าปิดเทอมเดือนเศษจะกลับไทยหรือจะไปยุโรปตะวันออก สรุปกลับไทยดีกว่า อยากไปเที่ยวอาเซียน
ทริปในไทยขึ้นเหนือ เราไปกับครอบครัว เรียกว่าเกาะแม่เที่ยว มีแม่วางแผน จ่ายเงิน เสร็จสรรพ เรามีหน้าที่แค่เม้าท์กับกินเท่านั้นเอง ได้ไปร้านกาแฟชิมกาแฟร้านอาข่า อาม่า ด้วย มีความสุขมากกก เพราะเราเคยอ่านเรื่องราวของร้านนี้และเจ้าของมาเนิ่นนาน เคยแกะเทปสัมภาษณ์เจ้าของไป 40 กว่าหน้าจนเรื่องราวยังจำฝังหัว
กาแฟผลไม้อร่อยมาก หอมมมม น่าจะเป็นการกินกาแฟดริปคั่วอ่อนของเราครั้งแรกด้วยมั้ง…ตอนนี้ก็ติดใจกาแฟคั่วอ่อนไปเลย
4.1 เวียดนาม ลาว
ทริปอาเซียนร่วมใจของเรามาแล้ววววว
เริ่มต้นบินตรงลงที่ฮานอย ทริปอาเซียนไม่เน้นอะไรเยอะ เน้นถูกและดี (มีที่ไหน) เพราะใช้เงินเก็บจากตอนที่เราไปฝึกงานซึ่งเหลือเก็บนิดหน่อยเอง เที่ยวฮานอยก็นั่งรถเมล์ไปเลย
- บุนชา (bun cha) เมนูอาหารเวียดนามที่อร่อยมากกกก เราชอบมากและหากินยากด้วย เราเริ่มต้นรู้จักจากตอนที่หิวสุดๆ และเดินมั่วๆ ไปเจอร้านหนึ่ง หลังจากนั้นติดใจ กินมันทุกวันเลยจ้า
เมนูนี้คือขนมจีน น้ำซุป หมูก้อน และสารพัดผัก แบบอร่อยน้ำซุปกับหมูกรุ่นๆ กินกับขนมจีนอาหารโปรดเราด้วยคือฟิน กินที่ไหนก็อร่อยทุกที่ - อยู่บ้านชาวเขาที่ซาปา
ความแรนด้อมของชีวิต คือเราอยู่โฮสเทล แล้วคนหัวเตียงเราเล่าให้ฟังว่าไปอยู่โฮมสเตย์ชาวม้ง เราก็เลยโทรนัดเขามารับวันรุ่งขึ้น บ้านชาวม้ง ชีวิตอยู่ในป่าแบบรอบตัวมีแต่ต้นไม้ๆๆๆ อาหารกินกับเขา 3 มื้อ เดินเล่นทุ่งนา ป่าเขา เม้าท์กับเจ้าของบ้านไปเรื่อย
และเราก็ย้ายร่างมาอยู่ที่ลาว เริ่มที่หลวงพระบาง ลาวคือประเทศที่ของแพงนะ ส้มตำธรรมดาในตรอกซอย ครกละเกือบร้อยบาท คือแบบเฮ้ย กินข้างทางราคาพอๆ กับกินในร้านอาหารที่ไทยเลยอ่ะ แต่เราชอบตลาดเช้าที่หลวงพระบางนะ ดูมีชีวิตชีวาดี
- กินตำลาวที่ลาว
รู้สึก mission complete เมื่อได้กินตำลาวที่ลาวนี่แหละ กินมันทุกวัน (แต่ท้องไม่เสียเลยนะ) รสชาติต่างจากที่ไทยอยู่หน่อย (แต่ใช้น้ำปลา ผลิตจากไทยนะ 55) ถือว่าฟินและแฮปปี้มาก - กาแฟดริปเย็น
ไปกินที่ร้าน Saffron coffee ร้านนี้มาแล้วนึกถึงร้านอาข่า อาม่าที่ไทยเลย (รู้จักอยู่ไม่กี่ร้าน) เป็นกาแฟแนวช่วยชุมชนหน่อยๆ ฮิตมากในหมู่นักท่องเที่ยว เราได้กินดริปเย็น อร่อย หอมละมุนมากกกก ถ้ากลับไปก็จะไปกินอีก - ผจญภัยไปเมืองงอย
ทริปนี้สนุกมากกก จากหลวงพระบาง เราจะไปเมืองงอย เริ่มจากนั่งรถตู้ไปเมืองหนองเขียวก่อน ซึ่งรถตู้นอกจากแอร์ไม่เย็นแล้ว ยังขับได้น่าหวาดเสียวไม่ต่างจากรถตู้ประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยและเปรูเลย ระหว่างทางมีรับชาวบ้านขึ้นมาด้วย ซึ่งฝรั่งที่นั่งในรถมีท่าทางหงุดหงิด และกลัว เพราะคนลาวจะเอาสัตว์พวกเป็ด ไก่ หมูใส่ถุง ปิดปาก และลากขึ้นรถ ฝรั่งก็จะรู้สึกไม่ดีไง ประมาณว่า เฮ้ย ทรมานสัตว์เปล่าาาาา
จากหนองเขียวไปเมืองงอย ต้องนั่งเรือซึ่งเรือรอบบ่ายมีตารางออก และมีราคาแปะอยู่ที่หน้าเคาร์เตอร์ พอใกล้เวลาเรือออก คนเรือก็เริ่มสุมหัวกันเว่าภาษาลาวว่า เนี่ย ขึ้นราคาค่าโดยสารดีกว่าจาก 25000 เป็น 4-5 หมื่น
ฝรั่งก็เห็นท่าไม่ดี เริ่มคุยกันละว่า “หรือวันนี้เราจะไม่ได้ไป” เราในฐานะคนได้ 2 ภาษา และเป็นนกสองหัวเต็มที่ก็บอกฝรั่งไปว่า “เปล่าๆ เขาจะขึ้นราคาเป็นเท่านี้ๆ” ฝรั่งทุกคนทำหน้า =_=
พอคนเรือมาบอกขึ้นราคา ฝรั่งที่มาจากชาติแพงๆ อย่างสวิส ฝรั่งเศส อเมริกา ทุกคนปฏิเสธโวยวายอย่างพร้อมเพียงกัน “ราคาแปะอยู่ตรงนั้น” “เราไม่ไป เราจะไปราคาเท่านี้” โวยวายกันนานมาก (เราอยู่เฉยๆ ) สรุปก็ได้ไปราคาตามป้ายล่ะจ้ะ
พวกคนเรือมีการบอกก่อนหน้านี้ด้วยนะ ว่าเนี่ยดูคนลาวกลุ่มนู่นสิ (ถือแบงค์มาให้ดูเลย) เขายังยอมจ่าย 4 หมื่นเลย พวกกลุ่มนักท่องเที่ยวก็ไม่มีใครสนใจหรอกจ้ะ และตามคาด พวกนั้นเดินทางไปไกลกว่าพวกเรา - โกงและโก่งราคา @ ลาว
มาลาวภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เราโดนโกงแนวนี้หลายรอบมาก เมื่อตอนเช้า เราไปแลกเงินนางก็โกงให้เงินเราขาดไปประมาณ 2 แสนกีบ ซึ่งเรารู้สึกตะหงิดๆ ตั้งแต่ตอนแลกเงินแล้ว (เราแลก 8 แสนกีบ) ว่าทำไมถึงให้แบงค์ย่อยหมื่นกีบ พันกีบมาเยอะจัง
เราเลยนับเงินตรงเคาร์เตอร์ตอนที่ได้รับมาเลย แล้วก็บอกเขาว่า เงินไม่ครบนะ มีแค่ 5 แสนกว่าเอง เขาก็รับกลับไป พูดเป็นตกใจเล็กน้อย (แต่สีหน้าไม่ได้ตกใจ หรือกังวลเลย…เราเคยเป็นแคชเชียร์มาก่อน เราจะรู้อารมณ์คนแลกเงินว่าถ้าลูกค้าโวยวาย ว่าเงินไม่ครบ จะเครียด จะตกใจมาก เพราะอาจหมายถึง ลูกค้าโกงหรือ เราต้องควักเนื้อจ่ายส่วนต่าง) นางรับเงินไปทำเป็นนับ แล้วก็หยิบแบงค์แสนกีบออกมาให้เรา
โกงเราไม่สำเร็จหรอกจ้ะ ไปฝึกฝีมือมาใหม่นะ
โก่งราคารถสามล้อก็อีกคดี ตอนนั้นมากับกลุ่ม backpacker กลุ่มใหญ่ ไปที่หมายใกล้ๆ กัน พวกนางต่อราคากันสนุกเลยสามล้อทีแรกจะเอา 2 หมื่นกว่า สรุปเราก็ได้ราคามาตรฐานที่หมื่นเดียวถ้วนต่อหัว - ฝากบอกทุกชาวโกงและโก่งราคาทั้งหลาย ว่าถึงเห็นเป็นต่างชาติ เป็นฝรั่งก็อย่าเลือกโกง และโก่ง backpacker เลย เพราะพวกนี้ เค็มและงก และเขี้ยวลากดินมากกกกกกกก ขนาดพวกสาวสวิส สาวฝรั่งเศส ประเทศที่โรงแรมแพงโคตรๆ (คืนละ พันบาทเป็นอย่างต่ำ) นางยังมานั่งบ่นกับโรงแรมคืนละ 300 บาทเลย ว่าแพง
สรุปไปทำอะไรที่ลาว คือไปชิลแหละ อยู่แค่หลวงพระบางกับเมืองงอยแค่นั้นเอง เอาหนังสือไปอ่าน เขียนไดอารี่ นั่งเม้าท์กับ backpacker ถึงจะบ่นกับลาวเยอะไปนิด แต่ถ้ามีโอกาสก็ยังอยากกลับไปเที่ยวอีกนะ
4.2 พม่าหรรษา บ้าบอ
ทริปพม่า เริ่มเป็นประเทศท้ายๆ แล้ว สะสมประสบการณ์มาแข็งแกร่งระดับหนึ่ง คือประเทศที่เราหาข้อมูลเยอะมาก (เทียบกับลาว ที่มั่วเอาวันต่อวัน) เพราะพม่าข้อมูลหายากมาก และคุยไม่รู้เรื่อง อ่านภาษาพม่าก็ไม่ออก (แต่อ่านเลขออกนะ)
เราเที่ยว ย่างกุ้ง – อินแขวน – ย่างกุ้ง – อินเล – สีปอ – เมืองมัณฑ์ (มัณฑะเลย์ ขอย่อแบบนี้นะ)
เป็นทริปที่เรามั่วมาก ลุยมาก (ที่สุด) ดิบมาก และโลคอลมากกกก เพราะเราเลี่ยงการนั่งแท็กซี่ การซื้อทัวร์ จองรถไฟชั้น 3 นั่งรถบัสชาวบ้าน
- รถเมล์ในย่างกุ้ง
อย่าถามว่ารอดมาได้ไง งงมากเหมือนกัน แต่ในย่างกุ้ง เรานั่งแท็กซี่แค่รอบเดียว คือตอนหาทางไปสถานีขนส่งไม่ได้ (แต่ก็นั่งรถเมล์ไปถึงใกล้ๆ แล้วนะ แต่รถเมล์ดันเลี้ยวออกนอกทาง) เลยต้องโบกแท็กซี่เอา ที่เหลือคือนั่งรถเมล์อย่างเดียว ถามๆ คนเขาเอาบ้าง เสิร์ชหาในเน็ตไว้ล่วงหน้าบ้าง - แต่งกายเยี่ยงพม่า
custom ที่พม่าเราจัดเต็มมากก คือจะทำให้ดูเหมือนพม่า เพื่อความปลอดภัยในชีวิต
พม่าเป็นที่ๆ หาข้อมูลแอบยาก แล้วก็ยังดูลึกลับ (ความรู้สึกก่อนไป) เราเลยเน้นให้กลมกลืนกับคนท้องถิ่นไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัย ช่วงแรกๆ ไม่ค่อยกลืนหรอก คนก็ดูออก (อาจเพราะสภาพยังไม่โทรม) วันหลังๆ นี่ ไม่มีใครคิดว่าเราเป็นคนต่างชาติแล้วจ้ะ TT
การแต่งกายง่ายนิดเดียว เสื้อยืด ผ้าถุงลายดอก รองเท้าแตะคีบ ทานาคาโปะหน้า ขนาดตอนนั้นตัดผมสั้นนะ - รถไฟชั้น 3
มาตรฐานเดียวกับรถไฟไทยคือลมดี ลมมา อาหารขายประปราย มาตรงเวลาบ้าง ไม่ตรงบ้าง อย่าว่ากัน 55 เรานั่งไปกลับอินแขวน แล้วก็จากสีปอมาเมืองมัณฑ์ (10 กว่าชั่วโมง) อันหลังนี่เพราะอยากผ่านสะพาน goteik สะพานรถไฟที่สูงที่สุดในโลก แถมเหมือนรถไฟดีเลย์อีก ณ เวลา 2 ทุ่ม กลางป่าแห่งหนึ่งกลางทาง คันมาก ยุงมาเต็ม 55 - ลั้ลลากับชาวฉาน (ไทยใหญ่)
สีปอ เป็นเมืองที่มีชาวฉานอาศัยอยู่ คนพวกนี้ welcome เรามากกก แบบไปเที่ยวแล้วไม่เคยเจอคนท้องถิ่น welcome เราเท่านี้ (เคยเจออีกทีก็ตอนไปบ้านนอกญี่ปุ่นไกลๆ แล้วคนรู้ว่าเราเป็นคนไทย 55) ทุกคนดูดีใจมากก ที่เราเป็นคนไทย และเรามาที่นี่ ไปเดินตลาด แม่ค้าชวนคุย (ก็บอกไปว่าฟังไม่ออก ไม่ใช่คนพม่า เป็นคนไทย) นางก็ตื่นเต้น พูดภาษาไทยใหญ่ บอกลูกค้าที่เดินผ่านว่า เราเป็นคนไทย 55 คนที่โรงแรม (สาวไทยใหญ่) ก็แบบดูดีใจพยายามเทียบๆ ภาษาไทยกับไทยใหญ่ ว่าเนี่ย เหมือนกันนะ - ครื้นเครงกับชาวพม่า
พม่าเป็นชาติที่คนมี energy สูงมาก active มากกก แบบบางทีเห็นคนวิ่ง แล้วยังเหนื่อยแทน เช่นรถสองแถว พวกกระเป๋ารถจะวิ่งไปหาคน (เน้นว่าวิ่งไปหาคนแถวนั้น) ตะโกนถามว่าใครจะไปไหม ไปเหอะ ไรงี้ ข้ามถนนก็วิ่งกัน (ตอนแรกๆ เราไม่วิ่งนะ เหนื่อย แต่พักหลังๆ ก็วิ่งตามเขา) ตอนขึ้นไปอินแขวน คนพม่าก็วิ่งกันกรู มาหากรุ๊ปคนไทย (อีกกลุ่ม) เพื่อขายของและบริการเสลี่ยง แบบ กินอะไรกันเข้าไปถึงแรงเยอะขนาดนี้ 55
แล้วก็เป็นชาติที่คนมีน้ำใจนะ อย่างตอนเรานั่งรถสองแถวที่เมืองมัณฑ์ สาวพม่าข้างๆ กินอะไรก็ไม่รู้ เราก็เหล่ๆ ดูว่าเขากินอะไร เขาก็ทำท่าจะแบ่งให้เราเลย (แต่เราปฏิเสธไป) ลุงตรงข้ามเห็นผมเราปรกหน้า (ลืมเอายางรัดผมไป) ก็หยิบยางยื่นให้) ในรถไฟก็มีคนแบ่งของกินให้ หรือตอนเรางงๆ หลังลงรถไฟ พระ (ที่นั่งตรงข้ามเราบนรถ) ก็เดินตามมาชี้ทางให้ ว่าหนูเดินไปทางนี้นะ
คือพม่าเป็นประเทศที่เรารู้กันอยู่ว่าจนเนอะ แต่คือมีน้อยเขาก็ยังแบ่งปัน เจอแบบนี้โห้ ดีต่อใจอ่ะ
พม่า คือการเดินทางที่ยากในความลึกลับ และความไม่ได้คาดหวังอะไร อาจเพราะพม่าเป็นชาติทีเราไม่ได้ถูก stereotype มาก (อย่างเวียดนามโกง << เราไม่โดนโกงที่เวียด / สยามเมืองยิ้ม) อะไรแบบนี้ ทำให้เราไม่ได้คาดหวังอะไรกับพม่าเลย เลยเจออะไรที่อาจเป็นเรื่องธรรมดา แต่เหนือความคาดหมายของเราไว้เยอะ
เป้าหมายของทริปพม่าและอาเซียนร่วมใจ ของเรามีอย่างเดียว คือ มีชีวิตรอดดดด
5 เกาหลีที่รัก
ออกไปบ้านนอกครั้งแรกที่เกาหลี ได้ใส่ฮันบก ได้พูดภาษาเกาหลีล้วนๆ (เพราะป้าๆ ยายๆ ฟังไม่ออก) นั่งรถบัสครั้งแรก จิลจิมบังครั้งแรก ไปวัด ไปพิพิธภัณฑ์ เป็นทริปที่มีความสุขมาก แฮปปี้มากในความเที่ยวง่าย อาหารอร่อย และพูดรู้เรื่อง
- ไปแก้ผ้าคุยกับคนแปลกหน้า
ตอนเราไปจิลจิมบัง ระหว่างที่แก้ผ้าแช่น้ำ คุณน้าคนเกาหลีก็มาชวนคุย คือเราไม่เขินอายกับการแก้ผ้าร่วมคนแปลกหน้า เพราะออนเซ็นมาจนหน้าหนาพอ แต่ญี่ปุ่นเขาไม่ค่อยคุยกันไง พอมาเกาหลี มาแก้ผ้าคุย ก็เลยรู้สึกแปลกๆ นิดๆ - ไนท์ไลฟ์ในโซล
ถึงจะอยากเที่ยวผับเกาหลี ก็ยังไม่ได้ไปสักที (ใครจะไปลากไปได้นะ หาคนไปเป็นเพื่อนอยู่) ก็เลยได้แต่สิงหน้าผับ ดู street performance ไปก่อน เราชอบนะ คือการเติมไฟให้ชีวิต เห็นคนมีฝัน มีไฟ มีความพยายาม มี passion(และหล่อด้วย) แค่ได้อยู่ใกล้ๆ ก็มีความสุขแล้ว 55
After that……
และก็กลับมาอเมริกา ตั้งใจเรียน หางานทำ ชดใช้กรรมกันต่อไป
หวังว่าปีหน้าคงมีโอกาสได้ไปเที่ยวไหนสักแห่งสองแห่ง ใน bucket list ก็มีไม่เยอะเลย แค่ ABC เนปาล / เลห์ ดาลัก / เกาหลีเหนือ / คิวบา / เม็กซิโก / อเมริกาใต้ / ยุโรปตะวันออก เขียนๆ ไปจะหมดทั้งโลกอยู่แล้ว ปีหน้าหวังว่าจะโดนสักที่ สองที่ แต่ถ้าให้ดี ไปได้หมดเลยจะแฮปปี้มากกกกก
You must be logged in to post a comment.