เกียวโต, ญี่ปุ่น ไปกี่ทีก็หลงรัก
จุดเริ่มต้นที่ทำให้เราหลงรักญี่ปุ่นอยู่ที่นี่ เราจึงอยากกลับมาอีกครั้งเพื่อทบทวนความทรงจำที่อาจทำหล่นหายไป
และนี่คือ บันทึก 36 ชั่วโมง (2 วัน 1 คืน) ของเราในเมืองที่รักที่สุดในญี่ปุ่น
7:00 น. @ Kyoto Station
เราขึ้นรถนอนมาจากโตเกียว หลับตาตื่นมาก็ถึงสถานีเกียวโตแล้ว เดินวนไปหามื้อเช้ากิน ร้านส่วนมากจะเกิด 7 โมงครึ่ง ด้วยความมุ่งมั่นมากว่ามาถึงเกียวโต เมืองต้นกำเนิดแห่งชาเขียว Uji ที่ว่ากันว่าเป็นชาที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น
มื้อแรกของเราก็จัดเต็มไปกับแพนเค้กชาเขียว ชุ่มฉ่ำ หวานพอดีๆ มีกลิ่นหอมของมัชฉะติดมาด้วย
8:00 น. นั่งรถบัสไปโอฮารา
รถบัสระหว่างจังหวัดจะจอดด้านหลังของสถานีรถไฟ แต่ถ้าเป็นรถบัสในเมืองจะจอดอีกฝั่ง สถานีนี้ค่อนข้างใหญ่ เดินวันแรกๆ อาจงงหน่อย
รถเมล์ที่จะไปโอฮาราคือรถเมล์สาย 17 มีตารางเวลาวิ่งแน่นอน (และรับรองความเป๊ะ สไตล์แจแปนนีส) เป็นรถเมล์หวานเย็นที่จอดทุกป้าย ใช้เวลา 1 ชั่วโมงเต็มกว่าจะถึง แต่ระหว่างทางก็มองวิวภูเขา แม่น้ำ ท้องฟ้าไป สวยจับใจเลย
รถเมล์พาเราเข้าสู่หุบเขาที่มองเห็นไกลลิบตา
9:00 น. โอฮารา
โอฮารา (大原)เป็นเมืองเกษตรของเกียวโต ขึ้นชื่อว่าดินดี น้ำดี อากาศดี ปลูกอะไรก็ดีไปหมด นอกจากจะปลูกข้าวและผัก ของขึ้นชื่อก็คือต้นสีม่วงที่ชื่อต้นชิบะ เป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ทำผักดองสีม่วงที่เราเรียกว่าชิบะสึเกะ
นาสองสีที่โอฮารา : สีเขียวคือต้นข้าว และสีม่วงคือต้นชิบะ
แวะหาอะไรลองเท้ากันสักนิด เพราะแพนเค้กตอนเช้าย่อยไปแล้ว ข้าวปั้นลดราคา ถูกที่สุดในชีวิต (30 เยน) กับวิวที่แพงที่สุด
เรารีบมาถึงโอฮาราแต่เช้า เพราะได้ข่าวว่าที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต โดยเฉพาะในวันหยุดสุดสัปดาห์ เช่นวันนี้ ไกด์บุ้คยังบอกเราว่า “ถ้าจะไปวัด ให้เดินตามคนส่วนมากไปได้เลย”
แต่ไหนล่ะคน? เพราะเรามาเช้ามาก ชนิดที่เรียกว่าต้องยืนรอวัดเปิดและได้เข้าวัดยอดฮิตของที่นี่เป็นคนแรก!
9:30 น. วัดโฮเซนอิน
วัดในโอฮารามีมากมาย แต่เราเลือกเข้าวัดนี้เพราะมีสวนหิน ต้นไพน์อายุ 700 ปี และมัชฉะ
พอเราเข้ามาถึงห้องเสื่อทาทามิ ตอนเข้ามาเราเป็นคนแรก จึงยังมีที่ว่างมากมาย นั่งดูสวนเงียบๆ วางกระดาษที่ได้จากคุณลุงหน้าวัดมาวางบนพื้น คุณป้าก็ยกมัชฉะและขนมหวานญี่ปุ่นมาให้
ไม่นาน นั่งท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ก็เดินเข้ามา พี่ผู้หญิงที่ทำงานที่นี่ชี้ไม้ไปที่เพดานด้านบนตรงคราบสีแดงจางๆ ว่านี่คือรอยเลือดของซามูไร เพดานนี้ทำมาจากพื้นของปราสาทแห่งหนึ่ง
ระหว่างนั่งเล่นพักผ่อน ก็เห็นคุณป้าสองสามคนกำลังถอนวัชพืช ถอนไป คุยไป รอยยิ้มระหว่างคำพูดคือเครื่องยืนยันความสุข
ในสวนหินด้านข้างก็มีคุณลุงกำลังปัดทรายให้เป็นริ้วรอย การทำงานของพวกเขาดูสงบและมีความสุขในเวลาเดียวกัน
การทำงานของเขาดูไม่รีบเร่ง ดูไม่เหน็ดเหนื่อย ราวกับได้พลังงานจากต้นไม้ใหญ่และป่าอันแสนอุดมที่อยู่หลังวัดแห่งนี้
นี่สินะ Working meditation หรือ การภาวนาด้วยการทำงาน …สิ่งที่ถูกสอนมานานแต่ยังทำไม่ได้สักที
12:00 น. มื้อเที่ยง @kirin riverside
อาหารจานหลักพร้อมบุฟเฟต์สลัด กับวัตถุดิบที่ใช้จากคนในท้องถิ่น เพื่อรักษา และสนับสนุนเกษตรในบ้านเกิด
เรายังเจอร้านอาหารแนวนี้อีกหลายร้านในเกียวโต ดูเหมือนโลกกำลังหมุนกลับที่คนลดการใช้ของ import หันมาใช้ของโลคอลแทน
2:30 น. วัดน้ำใส (Kiyomizu)
น้ำ 3 สายที่ทุกคนต้องต่อแถวเพื่อดื่ม และคำอธิษฐานจากหัวใจ
ภายในวัดยังมีศาลเจ้าแห่งความรัก ที่เป็นที่สถิตของเทพเจ้าโอคุนินุชิ โนะ มิโคโตะ ซึ่งเป็นเทพแห่งความรักและชีวิตคู่
มีหินตาบอด (“เมกุระอิชิ”) หรือหินแห่งความรัก เป็นก้อนหินเรียงกัน และต้องหลับตาเดิน สามารถมีคนบอกทางได้ ถ้าคนโสดมาเดินสำเร็จจะได้เจอรักแท้ ส่วนคนมีคู่ การให้คู่รักบอกทางก็คือบทพิสูจน์ของรักแท้อย่างหนึ่ง
แต่รุ่นพี่เราเคยมาเดินหินนี้ เดินสำเร็จแต่จนถึงวันนี้ก็ยังร้องเพลง “อยากโดนเป็นเจ้าของ” วนไปจ้า 55
เวลาอยู่ญี่ปุ่น เรามักเห็นคนสูงวัย พร้อมอุปกรณ์วาดรูป ปักหลักอยู่มุมใดมุมหนึ่ง ยิ่งในสวนฯ เจอเป็นประจำ ทำเอาคนชอบการวาดรูปแต่วาดไม่ได้เรื่องอย่างเรา เจองานอดิเรกในวัยเกษียณแล้วล่ะ
5:00 น. เดินเล่นริมแม่น้ำคาโมะ
เกียวโตมีแม่น้ำผ่ากลาง โอบล้อมด้วยภูเขา ตรงนี้เหมือนเป็นพื้นที่ที่ให้คนในเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีบริเวณได้หายใจและพักผ่อน
เราเห็นหนุ่มสาวญี่ปุ่นมานั่งเดตกัน แก๊งค์เพื่อนกำลังเม้าท์มอย ชายกลางคนนั่งสูบบุหรี่พร้อมกับกระป๋องเบียร์ ส่วนเราก็หยิบเอาหนังสือที่ติดกระเป๋ามานอนอ่าน
การนอนอ่านหนังสือริมแม่น้ำ แล้วมองลอดใต้หนังสือไปเห็นคนญี่ปุ่นจีบกัน ฝ่ายผู้หญิงดูเขินอาย ก็ชวนจิกหมอนฟินได้ไม่แพ้กัน
ปล่อยใจไปกับสายน้ำ โยนความทุกข์ลงแม่น้ำไปให้หมด
19:00 น. นอน @ข้าวสาร hostel
เนื่องจากอดนอนกับรถบัสมาเมื่อคืน เราเลยสลบสไลไปตั้งแต่ 2 ทุ่ม โรงแรม Khaosan เราพักบ่อย มีหลายสาขา ค่อนข้างดีเลย
วันที่ 2
7:00 น. มื้อเช้ากับร้านอาหาร Local
เกียวโตมีร้านอาหารเยอะแยะมากมาย แต่ละร้านมีจุดขายหลากหลาย ตั้งแต่ประวัติยาวนาน เมนูแปลกใหม่ วัตถุดิบชั้นยอด ฯลฯ แต่การหาร้านอาหารที่เปิดตอนเช้าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเช้าวันอาทิตย์ ที่นักท่องเที่ยวยังหลับใหลจากความเหนื่อยในราตรีที่เพิ่งผ่านมา
ร้าน Miyakoyasai Kamo เป็นร้านอาหารเช้ากลางเกียวโตที่ถูกใจคนรักผักอย่างเรามากเป็นพิเศษ
คอนเซปต์ของร้านคือเน้นวัตถุดิบท้องถิ่นที่ผลิตในเกียวโตเท่านั้น จะไม่นำเข้าของต่างเมืองเด็ดขาด ส่วนหนึ่งเพราะความมั่นใจในคุณภาพของผักผลไม้จากจังหวัดตัวเอง อยากให้รักษาความสดของผลผลิตที่ส่งตรงจากสวนทุกเช้า และอีกด้านก็คือความเชื่อด้านสิ่งแวดล้อมที่อยากลดภาวะก๊าซคาร์บอนจากการขนส่ง
ร้านนี้เป็นบุฟเฟต์ เมนูตอนเช้าจะถูกกว่าช่วงอื่นของวัน (500 เยนเท่านั้น) มีตั้งแต่ข้าวต้ม ขนมปัง ซุป และผักต่างๆ ตอนนี้เป็นฤดูร้อน ผักเลยมีหลายชนิด เมนูอาหารในร้านเป็นเมนูง่ายๆ ปรุงรสน้อยๆ เพื่อไม่ให้กลบความสดของผัก
อร่อยถูกใจสาวจืด กินอะไรจืดๆ อย่างเราที่สุด
ในร้านมีภาพของชาวสวนและเจ้าของฟาร์มผักที่เรากำลังกินแปะอยู่ มีคำบรรยายที่เป็นการส่งผ่านความรู้สึกจากชาวสวนถึงผู้บริโภคอย่างเราโดยตรง ทำให้เราเห็นเส้นทางการเดินทางของอาหารแต่ละจานอย่างชัดเจน รวมความสดของผักลงไป ร้านนี้เลยเป็นร้านโปรดของเราไปอีกที่ ซึ่งร้านโทนนี้ในเกียวโตก็มีอีกหลายแห่ง เห็นแล้วดีใจแทนชาวสวนท้องถิ่นที่เทรนด์ผัก เทรนด์อาหารชุมชนกำลังมาแรง
9:00 น. ศาลเจ้าฟูจิมิอินา
ศาลเสาแดงที่หลายคนคุ้นเคย เป็นอีกหนึ่งวัดที่เรายังไม่เคยมา เลยต้องขอมาสัมผัสสักหน่อย
11:00 น. วัดทอง คินคะกุจิ & ไอติมทอง
ด้านหน้าวัดทองมีขายไอติม soft serve ทำจากมัชฉะเข้มข้น มีถั่วแดง ฯลฯ โปะความอลังการด้วยทอง!! กินแล้วรวย กินแล้วแพงก็จัดไป (ราคาประมาณ 900 เยน)
บรรยากาศภายในวัด สุดร่มรื่น ด้านข้างวัดระหว่างเดินไปป้ายรถเมล์ ก็มีร้านค้าขายของน่ารักๆ ตั้งแต่ของฝากยันเครื่องสำอางธรรมชาติมากมาย
13:00 น. จิบกาแฟก้อนเมฆและขนมกระถาง
ร้านนี้ชื่อว่าร้าน Alpha มาเพราะเหตุผลเดียวเลยคือชอบไอเดียเจ้าของร้าน กับการพยายามสร้างสรรค์ บรรยากาศมีความเป็นแจ๊ส และญี่ปุ่นนอกกระแสอยู่ ชอบค่ะ แต่คะแนนรสชาติเราให้แค่ 3/5
เมนูร้านเหมือนจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ กาแฟก้อนเมฆโอเค แต่เจ้าต้นไม้กระถางยังต้องปรับปรุงอีกหน่อย
พิกัดร้าน 京都市中京区西大黒町327 Kyoto, Japan
15:00 น. เดินเล่นในเมือง
หลักๆ คือเดินหาขนมซื้อกลับบ้าน พอดีวันนี้มีเทศกาลพอดี ช่วงหน้าร้อนจะมีเทศกาลเยอะ และคนโคตรรรรรรเยอะ (ถนนปิด รถเมล์ไม่วิ่งอีก 55
เหมือนเช่นเคย ที่คนรักหนังสือมากๆ อย่างเรา จะเสียเวลาตอนบ่ายแก่ๆ ไปกับการเดินดูหนังสือ แม้จะอ่านไม่ค่อยออกก็ตาม
17:00 น. เจอเพื่อน + กินโอโคโนมิยากิ + น้ำแข็งไส
เรานัดเจอเพื่อนคนญี่ปุ่นที่มาทำงานระหว่างรอเข้าทำงานบริษัทรถยนต์อันดับ 1 ของญี่ปุ่นอยู่
เรารู้จักกันตั้งแต่ตอนเรียนปี 1 ที่บอสตัน เรียกว่าเจอกันในช่วงที่ชีวิตของเราสองคนอยู่ในช่วงที่ยากจุดหนึ่งของชีวิต ปกติเราจะคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ แต่วันนี้เมื่อเจอหน้ากัน เธอทักเราทันทีว่า
“ฝึกงานที่บริษัทญี่ปุ่น งั้นพูดญี่ปุ่นได้ดีแล้วใช่ไหม”
บทสนทนาของเราสองคนก็เลยกลายเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนไปเลย เธอพาเราไปกินโอโคโนมิยากิ ซึ่งเป็นอาหารของโอซาก้า ที่พูดได้เต็มปากว่าเป็นของคันไซ
ร้านที่เราเลือกไปกินอยู่ชั้น 2 ทางขึ้นดูลึกลับ แต่มีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นจะไปกลัวอะไร เราวางใจให้เธอนำทางและพูดกับพนักงานเสิร์ฟชายวัยกลางคนที่อาจพ่วงตำแหน่งเจ้าของร้านไปด้วย
ร้านนี้ตั้งอยู่แถวถนนช็อปปิ้งใจกลางเมืองเกียวโต แต่มีคนนั่งอยู่ในร้านแค่ 2-3 โต๊ะ ส่วนมากดูเป็นคนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่แถวนี้มากกว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว อาจเพราะสไตล์ร้านที่ต้องทำเอง ผัดเอง แถมทางเข้ายังลึกลับและมีแต่เมนูภาษาญี่ปุ่น
เราช่วยกันเลือกเมนูคนละอย่างออกมาเป็น โอโคโนมิยากิเบคอน กับโอโคโนมิยากิเส้นโซบะ
ก่อนหน้านี้ เราเคยเห็นทั้งในทีวีและตามร้านสะดวกซื้อญี่ปุ่นมีมนูแป้งทับแป้งมากมาย อย่างแซนวิชขนมปังไส้ยากิโซบะ ความรู้สึกเราคือพิลึกชอบกล เหมือนกินขนมปังไส้เส้นบะหมี่ มีแต่แป้งทั้งนั้น
จนได้มาลองแป้งทับแป้งจริงจังครั้งแรกที่นี่ บอกได้คำเดียวว่า เออ มันเข้ากันดีนะ
เราโบกมือลาเพื่อนและจบความทรงจำทั้งหมดเอาไว้ที่ร้านน้ำแข็งไส
วางแผนเที่ยวเกียวโตให้คุ้ม
ซื้อตั๋ววัน: สำหรับนั่งรถเมล์ในเมือง ถ้าจะไปโอฮาราต้องจ่ายเงินเพิ่มเพราะตั๋วไม่ครอบคลุม
แบ่งโซนเที่ยว: เนื่องจากเรามาเกียวโตเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ได้เก็บที่เที่ยวหลักครบเกือบหมดแล้ว รอบนี้เลยไปแค่ที่ๆ อยากไป แต่สำหรับคนที่ต้องการเก็บที่เที่ยวในเกียวโตให้หมด ต้องแบ่งเที่ยวตามโซนได้แก่
- ตะวันตก (ไกล) : ป่าไผ่ Arashiyama, กาแฟ arabica (ใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวัน)
- ตะวันตกเฉียงเหนือ (ใกล้) : วัดทอง (kinkakuji)
- ตะวันออก: วัดน้ำใส, Gion (ย่านบันเทิงโบราณ)
- ตะวันออกเฉียงใต้ : ศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ
หลีกเลี่ยงช่วงวันหยุด เพราะเกียวโตเป็นเมืองเล็กๆ ที่คนกำลังล้นเมือง เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ถ้าไม่ได้หวังไปเจอเทศกาลหรืออะไรเป็นพิเศษ ไปช่วงที่คนไม่เยอะ (Low season, อย่าไปหน้าร้อน, อย่าไปวันหยุด)
You must be logged in to post a comment.