2017 Reflection

เป็นธรรมเนียมของตัวเองไปแล้ว ที่พอสิ้นปี เราจะทุกสรุปทุกสิ่งอย่างของชีวิต รวมทั้งบล็อกตัวเอง

ปีแรกๆ ที่ทำก็กะขำๆ แต่พอทำสรุปของตัวเองไปทุกปี มันง่ายมากเวลาความทรงจำเราเลือนลาง แล้วกลับไปดู ก็รู้ทันทีว่า ณ ตอนนั้น เราคิดและทำอะไรไปบ้าง

ปีนี้ก็เป็น Reflection ครั้งที่ 6 แล้ว และบล็อกเราก็อายุ 6 ขวบกว่าๆ แล้ว เขียนกันมาตั้งแต่ exteen โบราณได้อีก


2017 Life Summary

ถ้าเปรียบสภาพชีวิตเป็นกราฟ ปีนี้มีจุดพีคสูงสุดและต่ำสุดเยอะมาก เรียกว่าตอนดีก็ดีจนน่าใจหาย ตอนลงต่ำก็หดหู่สุดๆ เหมือนกัน

เรื่องเที่ยว

ว่าด้วยเรื่องของการเดินทางทั้งหมด เราเหมือนได้เดินออกจากความกลัว ลดอดติหลายๆ อย่างในใจ เหมือนเปิดโลกให้เรารู้จักสิ่งใหม่ๆ มากมาย อย่างก่อนไปทริปประเทศเพื่อนบ้าน เรามีความกลัวสารพัดเลยนะ โดยเฉพาะพม่า คือเพราะความไม่รู้ เราถึงกลัว พอไปแล้วก็พบว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย…

สรุปการเดินทางของปีนี้อยู่ในโพสนี้  2017 Travel memo

เรื่องเรียน

จุดสูงสุดอย่างหนึ่งในปีนี้ก็คือเรียนจบแล้ว ได้เกียรตินิยมตามที่หวังด้วย สมกับที่ตั้งใจเรียนหนักมาตลอด แม้จะมีอู้บ้าง ขี้เกียจบ้าง แต่เราให้เรื่องเรียนอยู่อันดับ 1 เสมอ พอเรียนจบได้ตามที่หวังเราก็โล่งใจ

สุขภาพ

ปีนี้เที่ยวเยอะ ก็ฟิตมาก ออกกำลังกายเป็นประจำ ชอบหุ่นตัวเองมาก ถึงไม่สูงเพรียวเวอร์ชั่นนางแบบ แต่ก็ฟิตพอได้นะ 🙂

เรื่องงาน

เป็นเรื่องที่ทำให้เราประสาทเสียมากที่สุด เพราะเราหางานไม่ได้เลย 2 เดือน คิดว่ายื่น resume เกือบ 100 ที่นะ ไม่มีที่ไหนรับเลย​โดนจดหมายปฏิเสธเข้าเมลมาทุกวัน ทุกฉบับ

มันน่าหดหู่นะ ยิ่งสำหรับเราที่พยายามตั้งใจเรียนมาตลอด ความรู้สึกที่แย่กว่ารู้ว่าตัวเองไม่มีความสามารถคือ ได้รู้ว่าความพยายามที่ผ่านมามันไร้ค่า ไร้ประโยชน์ กระเสือกกระสนมาเรียนมหา’ลัยดังๆ เรียนก็โคตรยาก กว่าจะผ่านแต่ละวิชาแทบตาย แล้วก็มาตกงาน หางานไม่ได้อีก

ตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ แสงสว่างในชีวิตริบหรี่มาก พูดเลย แล้วเราไม่ได้สมัครงานบริษัทแบบตัวท็อปด้วยนะ สมัครบริษัทธรรมดานี่แหละ จนหลังๆ ยื่นใบสมัครพวกร้านอาหาร เป็นพนักงานเสิร์ฟ พนักงานต้อนรับ ทุกอย่างอ่ะ ที่คิดว่าทำได้

…แต่ก็ยังได้รับแต่คำปฏิเสธเรื่อยมา First jobber แม่งยาก พูดเลย

มีให้อุ่นใจหน่อยตรงที่เพื่อนก็หางานไม่ได้เหมือนกัน พิสูจน์ได้อย่างหนึ่งว่าปัญหาอาจไม่ได้เป็นเพราะตัวเรา แต่อาจเกิดจากบางอย่างที่เรามองไม่เห็น

ชีวิตตอนนั้นแหละ ที่บอกว่าอยู่จุดต่ำสุด คือสภาพแวดล้อมไม่ได้แย่นะ มีบ้านอยู่ มีข้าวกิน เงินเก็บก็พอมี แต่เหมือนสูญเสียความเชื่อมั่น เสียความมั่นใจในตัวเองไป แล้วตามนิสัย คือเราเป็นคนมั่นใจในตัวเองทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องความสามารถของตัวเองนี่แหละ

ก่อนเรียนจบก็นึกภาพไม่ออกว่าตัวเองจะทำงานอะไร พอเรียนจบภาพเป็นจอดำเลยจ้า

จนผ่านไป 2 เดือน เราก็ได้งานที่ๆ ทำอยู่ (เราบอกชื่อบริษัทไม่ได้ มันเป็นกฎ) ซึ่งเป็นงานที่เราชอบมาก เรากล้าพูดได้เลยว่างานทั้งหมดที่เราเคยสมัครมา เราอยากได้งานนี้ที่สุด ตอนอ่านคำอธิบายคุณสมบัติ ไม่ได้รู้สึกว่าเขาพูดถึงตำแหน่งงาน แต่รู้สึกว่าเขาพูดถึงทุกสิ่งที่เป็นตัวเรา

งานนี้มีความหมายกับเรามากๆ นะ มันคือการได้กลับมาทำงานสายที่เรารักอีกครั้ง ทั้งที่เคยหมดความมั่นใจกับตัวเองในความสามารถด้านนี้ไปแล้ว รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอ ไม่ดีพอจะไปยืนอยู่ในตำแหน่งนั้น แต่พอเขาเลือกมา (ซึ่งเขาเลือกนานมากนะ กว่าจะได้) เราได้ฝึกทำ แล้วหัวหน้าก็ชม (ไม่รู้ว่าชมจริงๆ หรือว่าอยากให้กำลังใจ 55.. แต่ก็ขอบคุณค่ะ รัก manager มากบอกเลย) เราก็อยากพัฒนาฝีมือขึ้นไปอีก

เขามองเห็นศักยภาพที่เรามี คือสิ่งที่เราก็รู้ว่าเรามี แต่ไม่มั่นใจนั่นแหละ

มองย้อนกลับไปในหลุมดำที่ผ่านมาก็รู้สึกดีนะ ที่พวกนั้นปฏิเสธ ไม่งั้นเราคงไม่ได้มาทำงานที่ทำอยู่ตอนนี้

จริงๆ ก็มีความเชื่ออย่างหนึ่งนะ ว่าอะไรในโลกนี้ถ้าเป็นของเรา สุดท้ายแล้วเราก็จะได้มันมา แต่อะไรที่ไม่ใช่ ดิ้นรนให้ตาย มันก็จากไปอยู่ดี

#ความรักก็เช่นกัน

 


Books

ปีนี้ได้อ่านหนังสือ (ไทย) เยอะมากๆ พอๆ กับปีที่แล้วเลย ด้วยความที่ห้องสมุดในมหาลัยเรามีหนังสือไทยได้รางวัลอยู่เยอะพอควร เราก็เลยไปยืมมาอ่านตลอด งั้นขอเลือกเล่มโปรดที่ได้อ่าน ซึ่งมีทั้งหนังสือเก่าและใหม่ผสมกันไป

  • อีกหนึ่งฟางฝัน บันทึกแรมทางของชีวิต ของจีระนันท์ พิตรปรีชา
    เล่มนี้ลากไปอ่านด้วยกันที่เปรูเลยเชียว ขึ้นไปอ่านในระเบียงที่พัก อยู่บนเขามองเมืองกุสโก้ บรรยากาศอย่างดี เข้ากับหนังสือเชียว
    เป็นบันทึกการเดินทางของผู้หญิงที่เข้าป่าตามแฟน/สามี (คุณพ่อกับคุณแม่ของ วรรณสิงห์นั่นแหละ)
    ภาษาเขียนสวยงาม เรื่องราวน่าสนใจ มีช่องว่างระหว่างบรรทัดกว้างพอให้เราได้หยุดคิด เราดีใจมากๆ ที่เจอหนังสือเล่มนี้ในห้องสมุด และได้ทำความรู้จักกัน
    ลองอ่านแล้วคิดต่อระหว่างหนังสือจบ เราว่าเป็นหนังสือที่สอนวิชาชีวิตหลายอย่างเลย
  • ยำใหญ่ใส่ความรัก (ฮิมิโตะ ณ เกียวโต)
    เล่มนี้คือเล่มแรกที่เราได้อ่านหนังสือของฮิมิโตะ แล้วก็ถามตัวเองทันทีว่า เราไปอยู่ที่ไหนบนโลกมา เราชอบภาษา สไตล์ และเนื้อหาของเธอมาก ถึงกับพยายามไปหางานของฮิมิโตะมาอ่านจบครบทุกเล่ม เหลือจดหมายจากสันคะยอม เล่มเดียวการเอาเรื่องความสัมพันธ์มาเขียนยำรวมกับอาหาร คือลักษณะงานเขียนของเล่มนี้ การเล่าเรื่องแบบแซ่บ ตรงไปตรงมา ไม่สร้างภาพ คือชอบอ่ะ อ่านงานของนางไปเรื่อยๆ อยากเปลี่ยนมาเรียนประวัติศาสตร์เลย
  • หยดน้ำหวานในหยาดน้ำตา
    จริงใจ เขียนจากใจ เป็นเล่มที่รู้สึกว่ากรีดเลือด กลั่นน้ำตาเขียนออกมาเลย เข้มข้นและมีพลังมาก ทำให้เรามองเห็นความรักในอีกมิติหนึ่ง กับคู่ชีวิตที่เป็นมากกว่าปิ๊งแล้วรักกัน แต่มันมีความเข้าใจ มีการส่งเสริม และอีกมุมหนึ่งคือความศรัทธาที่คนเขียนมีต่อคนรักของเธอ
    ตอนแรกไม่ได้อ่าน เพราะคิดว่าเป็นหนังสือทั่วไป ที่จะมาเขียนเล่าถึงคนรักที่ตายจากไป แต่เนื้อหาที่ซ่อนอยู่หลังตัวอักษรมันมีเยอะมากอ่ะ เป็นหนังสือที่เราชอบมากๆ ไม่เศร้า ไม่น้ำตาไหลนะ แอบขำหลายตอนด้วยซ้ำ
  • ความรักครั้งสุดท้าย
    ไม่เคยอ่านเป็นนิยาย แต่มาดูตอนเป็นซีรีส์ใน GMMTV25 แล้วชอบมาก ชอบคำพูดตัวละคร ไดอาล็อกมาก ถ้าเจอเวอร์ชั่นหนังสือคงได้สอยมาอ่าน

หนังสือที่เราเคยอ่านทั้งหมด ได้ที่ หนังสือไทย


Top post

โพสที่คนเข้ามาอ่านมากที่สุดใน Alittleparfait ตลอดปี

(how to) เรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเอง 1 –  อันดับ 1 ของปีนี้

เรียนญี่ปุ่นด้วยตัวเองจนผ่าน N2 ภายใน 2 ปี

โรบินฮู้ดในอเมริกา

(เล่า) ทำงานร้านอาหารในอเมริกา

(True Story) เมื่อรูมเมตฉันฆ่าตัวตาย

เหมือนของทุกปีที่ผ่านมาเลย ใครบอกว่าของเก่าตกรุ่น ไม่จริงนะ 55 มีแต่โพสที่เขียนตอนปี 2013- 2014 ทั้งนั้น จริงๆ เราก็อยากกลับไปเขียนชีวิตในอเมริกาอีกนะ แต่บางทีก็เริ่มเขียนไม่ได้แล้ว คงเพราะมันกลายเป็นความเคยชิน ไม่ใช่สิ่งที่แปลกใหม่อีกต่อไป

ส่วนกระทู้พันทิปปีนี้ กะเขียนขำๆ เล่น แค่อยากลองเขียนรีวิวเที่ยวบ้าง  แต่คนแชร์กันจริงจังมาก ตกใจสุดๆ เลย

Inca Trail เดินเท้า 4 วัน 3 คืนสู่ ‘มาชูปิกชู’ เส้นทางสายฝันข้างๆ เขา (ผญ. คนเดียวก็เที่ยวได้)

 

 


Facebook’s Top Hits

ขอเลือกจากโพสที่เราเขียนแล้วชอบ ส่วนมากเป็นโพสดีต่อใจ

“สุดท้าย ก็ต้องยอมรับความจริงว่าตัวเรามีขีดจำกัด
ที่ต่อให้พยายามมากแค่ไหน มันก็สุดได้เท่านั้น”

เป็นเรื่องที่เขียนเกี่ยวกับ 4 ปีในอเมริกา รวมทุกสิ่งอย่าง ส่วนมากคือชีวิตและการเติบโตของเราเอง ปีนี้เขียน Alittleparfait น้อยก็จริง แต่ชอบทุกอัน เขียนจากใจหมดเลย

 

  • โพสนี้เขียนในวันที่เราก้าวข้ามชีวิตช่วงมืดๆ และเจอแสงสว่าง (ดูพูดซะ 55)

ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของชีวิต
ที่เรากำลังจะก้าวข้ามจากจุดหนึ่งไปอีกที่
มันมีความยากลำบากและความสวยงามคละเคล้ากันไป
ในวินาทีที่ใกล้หมดหวัง
ยังมีแรงผลักดัน มีแสงสว่างเข้ามานำทางเสมอ
ขอเพียงเราอดทนอีกนิด อย่าเพิ่งโยนความฝันทั้งหมดทิ้งไป

บางครั้ง ชีวิตก็เป็นเรื่องของเวลา
ที่เราทำได้เพียงรอ

เราไม่อาจเร่งต้นไม้ให้ผลิใบได้เร็วเช่นไร
โชคชะตาชีวิตคนก็เป็นเช่นนั้น

คนคนหนึ่งมีโอกาสเกิดมาและกล้าพอจะอยู่ในโลกที่ตัวเองเลือก
นับได้ว่าเกิดมาอย่างไม่สูญเปล่า

รีวิวหนังสือ ผ่านมุมมองของเรา

 


 

สุดท้าย ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมานะ เนื้อหาบล็อกจากสมัยก่อนที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องเรียน เรื่องแรงบันดาลใจชีวิตเยอะ เดี๋ยวนี้อาจเปลี่ยนมาเป็นแนวความเรียง เป็นท่องเที่ยวมากหน่อย เพราะคนทำก็เริ่มชราแล้ว 55

จริงๆ เราทำเพจ เราเขียนบล็อกก็คือเขียนมาจากใจ จากตัวตนความเป็นเรา เป็นตัวของตัวเอง ซื่อสัตย์กับความคิดและความรู้สึกของตัวเอง เพราะเราโตขึ้น เนื้อหาก็ต้องเปลี่ยนตามการเติบโตของเรา ความคิดของเราที่เคยเขียนไว้ในวันเก่าๆ กับวันนี้อาจกลับด้านกันก็ได้

จริงๆ เราเป็นคนที่โตมากับสิ่งพิมพ์ และรักสิ่งพิมพ์โดยเฉพาะนิตยสารมาก เพราะมันเป็นตัวแทนของกาลเวลา ที่เราจะไม่สามารถลบหรือพิมพ์ใหม่ได้ แต่ตอนนี้เรากลับมาทำงาน (งานประจำ) สายดิจิทัลเฉยเลย….

Alittleparfait สำหรับเราเป็นเหมือนกึ่งความเรียง กึ่งไดอารี่ เราเลยยังเก็บเรื่องราวเก่าๆ เอาไว้ ไม่ลบหรืออัพเดต ปล่อยไว้ให้เห็นร่องรอยการเดินทางและเส้นทางการเติบโตจากอดีต

ส่วน 2018 เรามั่นใจว่าต้องมีเรื่องน่าตื่นเต้นรออยู่แน่ กระซิบอีกนิดว่าปีหน้าคือปีชงของเรา ซึ่งปกติชงทีไร ดีตลอด

Facebook   Instagram

Advertisement

Comments are closed.

Create a website or blog at WordPress.com

Up ↑

%d bloggers like this: