Years with different yoga ~ ประสบการณ์ฝึกโยคะแต่ละแบบ

โยคะมีหลายแบบ แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้ต่างกันแบบสิ้นเชิง เพราะมีต้นกำเนิดเริ่มแรกมาจากอาจารย์ชาวอินเดียคนเดียวกัน และลูกศิษย์ก็เรียนรู้ ดัดแปลง เพิ่มเติมกันไป

  1. หฐโยคะ

หะ คือพระอาทิตย์ ฐะ คือพระจันทร์ เหมือนหยินกับหยาง เป็นความสมดุล ระหว่างพลังงานที่แสนจะแอคทีพ กับความนิ่งสงบและผ่อนคลาย การฝึกเลยมีทั้งส่วนที่เกร็ง ใช้แรง ชวนให้รู้สึกเหนื่อยนิดๆ กับท่าที่ผ่อนคลาย (แล้วแต่ครูจะจัดเรียงท่าให้เอนเอียงไปทางฝั่งไหนมากกว่ากัน)

เราคนส่วนมากถ้าได้เริ่มเรียนโยคะ ก็น่าจะได้เริ่มจากหฐโยคะก่อน ส่วนตัวเราก็ฝึกหฐโยคะชิลๆ เล่นๆ ตามสตูดิโอมาหลายปี ก่อนจะเปลี่ยนแนวเหมือนกัน ใครเริ่มฝึกโยคะ ส่วนตัวแนะนำให้เริ่มจากหฐโยคะก่อนนะ เพราะจะได้ค่อยๆ รู้จักท่าต่างๆ ของโยคะ รู้การจัดเรียงว่าท่านี้ควรวางเท้าตรงไหน วางมือตรงไหน

2. วินยาสะ / โยคะโฟล

วินยาสะคือการเคลื่อนไหวตามลมหายใจ ฉะนั้นโยคะแบบวินยาสะก็จะเคลื่อนไหวมากกว่าหฐ ที่เน้นการเอาทีละท่ามาร้อยเรียงเป็นลำดับ จะมีความไหลลื่นต่อเนื่อง บางทีคลาส 1 ชั่วโมง ก็อาจเคลื่อนไหวไม่หยุดเลยก็ได้ ข้อดีคือ เราจะแทบไม่มีเวลาให้ว่อกแวก เพราะต้องจดจ่อกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ก็ทำให้สงบ และได้สมาธิอยู่นะ

ถ้าเรียงท่าดีๆ ต่อเนื่อง สวยงาม บางทีเหมือนการเต้นรำด้วยโยคะเลย

3. พาวเวอร์โยคะ Power Yoga

จริงๆ อยากแตกออกมาเป็น 2.1 ด้วยซ้ำ เพราะก็เป็นสไตล์วินยาสะแบบหนึ่ง มีการเคลื่อนไหวแทบทั้งคลาสเลย แต่จะเน้นหนักๆ intense เน้นไปฝึกกำลัง ซึ่ง power yoga น่าจะเป็นโยคะที่ในห้องเห็นผู้ชายเยอะสุดแล้ว 55555 แต่จริงๆ ผู้หญิงก็ฝึกได้นะ ฝึกแล้วดีด้วยจะได้สร้างกล้ามเนื้อ มีแรง

เป็นโยคะสายฝึกเสร็จเหงื่อท่วมแน่นอนนนน

4. แอชทังก้า Ashtanga

ภาษาไทยคือ อัษฎางคโยคะ  ฟังแล้วแก่มาก 55555 แต่เห็นเวลาเรียกกันก็เรียกแต่ “”แอชทังก้า” ไม่ค่อยมีใครเรียกชื่อไทยเท่าไหร่ เป็นโยคะที่ได้ทั้งความแข็งแรง และยืดหยุ่น หลักๆ ของ Ashtanga ทุกวันเราจะทำลำดับท่าแบบเดิมซ้ำๆ เป๊ะๆ ถ้าครูเห็นว่าเราทำท่าได้ในระดับที่ให้ผ่าน เขาก็จะเพิ่มท่าใหม่มาให้ เราก็จะฝึกลำดับแบบเดิมเป๊ะๆ + เพิ่มเท่าใหม่ แล้วครูก็จะปรับท่าเดิมให้ดีขึ้น ลึกขึ้น advance ขึ้น

ส่วนตัวคือว่าเป็นโยคะที่เรียบง่าย ถ่อมตัว มั่นคง ไม่ซับซ้อน เพราะทุกอย่างคือการทำซ้ำ เราจะเดินต่อไปข้างหน้า (ได้ท่าใหม่) เมื่อท่าที่ผ่านมาครูเห็นว่าเราทำได้โอเคแล้ว

เวลาเราเดินเข้าไปสตูดิโอที่มีแต่คนฝึก ashtanga แรกๆ อาจแบบเขายกตัวได้ เขาเอาขาพาดหัวได้ ดูเทพมากๆ ส่วนฉันแค่เอามือจับปลายเท้าก็ตึงแล้ว วิดพื้นไม่ขึ้น อยากบอกว่าโยคะคือการฝึกฝน คนที่ทำท่ายากๆ ได้ก็เคยผ่านการทำไม่ได้มาแล้วทั้งนั้น และต่อให้เอามือแตะปลายเท้าถึงแล้ว ต่อไปครูก็จะบอกว่า ลงไปอีก ลึกอีก เอาคางไปแตะเท้า อะไรแบบนี้

ฝึกแล้วเหงื่อท่วมแน่นอน

5. ไอเยนก้า

อันนี้ออกตัวก่อนว่าไม่เคยฝึก แต่พอดีครูโยคะเรา เขาฝึกสไตล์นี้ ก็เลยมาบอกต่อตามที่ได้ยินมาก

ไอเยนก้า เป็นโยคะพี่น้องกับแอชทังก้า คือคนที่ออกแบบโยคะ 2 แบบนี้มีอาจารย์คนเดียวกัน ลำดับความหนักอาจพอๆ กับแอชทังก้า แต่จะต่างที่ไอเยนก้า ค้างท่านานกว่า เน้นการจัดระเบียบกล้ามเนื้อ ร่างกายให้ถูกต้อง จะลงรายละเอียดกว่า Ashtanga หลายคนที่อยากฝึกโยคะแบบหนักหน่อย แต่ไม่ไหวกับแอชทังก้า รู้สึกว่าเร็วไป ครูบอกว่าไอเยนก้าอาจเหมาะกว่า จะต่างกับ ashtanga ที่ไอเยนก้า ใช้อุปกรณ์ช่วยเช่นบล็อก เชือก แต่ Ashtanga ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ คือไม่ใช้เลย

6 โยคะร้อน (Bikram Yoga)

เป็นโยคะที่มีจุดเริ่มต้นมาจากอเมริกา โดยคนอเมริกันเชื้อสายอินเดีย ก็คือปรับให้เข้ากับความต้องการคนท้องถิ่นที่อยากเน้นโยคะได้เหงื่อ เชื่อว่าจะได้ขับสารพิษ ลดน้ำหนัก อะไรแนวๆ นั้น ลำดับท่าจะมี 26 ท่า ฝึกเหมือนเดิมในห้องอุณหภูมิ 40 องศา

7. หยินโยคะ Yin Yoga

เป็นเพื่อนใหม่ที่เราเพิ่งรู้จักกันเมื่อปีนี้เอง และรักนางมากกกกก

จริงๆ เราเคยฝึก Yin บ้าง นานๆ ที แต่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ จนได้มาเรียนกับครูที่มาสายหยินโยคะจริงๆ ก็คือทำให้เข้าใจมาก ฝึกแล้วดีต่อใจ ดีต่อกล้ามเนื้อ ดีต่อสันหลัง ดีไปหมดเลย

ในขณะที่พวกโยคะสายสร้างความแข็งแกร่ง ก็คือเน้นสร้างกล้ามเนื้อ หยินโยคะจะเน้นที่ข้อต่อ พังพืดต่างๆ เอกลักษณ์ของหยินก็คือค้างท่านานมากที่สุดในทุกอัน บางทีก็ค้าง 5 นาทีเลย ซึ่งหลายคนก็แบบ เห้ย จะไปไหวได้ไง

คืองี้ หยินโยคะ เราจะไม่ได้ใช้แรงเพื่อดึงให้ยืดสุดกำลัง สมมติว่าท่ายืดขา ก้มตัว (ไปแตะปลายเท้า) ระหว่างตำแหน่งก้มที่เราไม่รู้สึกอะไรเลย กับก้มที่เรารู้สึกสุดความสามารถ ไปต่อไม่ได้ หยินโยคะ เราจะไปหยุดอยู่ตรงกลาง ค้างไว้สักพัก ให้ทุกอย่างคลายออก ให้แรงโน้มถ่วงดึงตัวเราลงไป ไม่เกร็งร่างกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อไปเลย แต่ถ้ารู้สึกเจ็บจนค้างต่อไม่ได้ ก็ให้ลองขยับขึ้นมาหน่อยนึง เท่านี้เอง

จะไม่เหมือนพวก Ashtanga ที่ท่าก้มถึงตรงนั้นคือสุดความสามารถ นั่นคือจุดที่เราควรค้างอยู่ตรงนั้น

หยินจะมีบล็อก ผ้าห่ม หมอน เชือก ใช้ได้เลย เพื่อให้รู้สึกสบาย และผ่อนคลายมากที่สุด บางทีครูก็เปิดเพลงทำนองเบาๆ เปิดเสียงน้ำ เสียงฝน เล่นแล้วอาจง่วงหน่อยๆ เขาเลยแนะนำให้ฝึกตอนเช้า หรือไม่ก็ตอนเย็นๆ

จุดประสงค์ของหยินเพื่อยืดข้อต่อ พังพืด ต่างๆ ฝึกหยินแล้ว ก็คือเพิ่มความยืดหยุ่นนั่นแหละ

(กำเนิดมาจากอเมริกา คนที่คิดหยินโยคะ เคยฝึก Ashtanga มาก่อน แล้วก็ไปเรียนพวก Martial art ของโลกตะวันออก)

8. โยคะฟื้นฟู Restorative Yoga

ใครอยากหาโยคะที่ผ่อนคลายจากความเจ็บปวด จากความเครียด รู้สึก burn out ทุกอย่างถาโถมเข้ามาในชีวิต โยคะฟื้นฟูอาจเป็นคำตอบได้ เป็นโยคะที่ดีต่อใจเหมือนกัน

การเคลื่อนไหวจะช้า จำนวนท่าไม่เยอะ ไม่ค้างท่านานเท่าหยิน จุดประสงค์ของโยคะนี้คือเน้นความผ่อนคลาย ฟื้นฟู คืนพลังชีวิต แทบจะเป็นโยคะบำบัดแล้ว ถ้าใครที่บาดเจ็บเยอะๆ ฝึกหยินอาจไม่เหมาะ ลองมาฝึก Restorative yoga ก็ได้

ส่วนตัวเราฝึกโยคะอันนี้มานานมากๆ ตลอดช่วงเรียนป.ตรี คือตอนนั้นเราเหนื่อย เราปวดหลัง เราเครียด เราไม่ได้ต้องการโยคะที่หนัก เราไม่ได้ต้องการทำท่ายาก เราอยากได้อะไรที่รีแล็กซ์ และสบายๆ

(Restorative Yoga เป็นเหมือนลูกของไอเยนก้า คือแตกหน่อออกมาอีกที โดยลูกศิษย์ไอเยนก้า เอาการฝึกแบบไอเยนก้ามาปรับให้เป็นการฟื้นฟูมากขึ้น ต้นกำเนิดมาจากอเมริกา)

9. โยคะฟลาย (Aerial Yoga, Yoga fly)

โยคะโหนผ้า อันนี้คือแปลกใหม่ สนุกดี ไม่ได้น่ากลัวนะ เพราะทำช้า และไม่ได้สูง ไม่ได้ทำท่าพิสดารขนาดนั้น แต่โยคะฟลายจริงๆ ขึ้นอยู่กับว่าได้ครูที่สอนพื้นฐานมาจากสายไหน ถ้าเป็นครูโยคะที่มาสอนโยคะฟลาย คลาสก็จะเป็นเหมือนคลาสโยคะ แต่ขึ้นไปทำบนผ้าแทน อาจใช้ผ้าช่วยให้เรายืดได้มากขึ้น แต่ถ้าเป็นครูสาย Aerial (สายกายกรรม) สายบัลเลต์ สายเต้น ก็จะต่างกันไป ความเป็นโยคะก็อาจน้อยลง เพราะโยคะมันก็มีวิธีหายใจ วิธีเข้าท่า ที่อาจแตกต่างจากสายเต้น หรือกายกรรม


จริงๆ โยคะยังมีอีกเยอะมากกก แต่ที่เหลือคือเรายังไม่เคยไปฝึก

เราฝึกโยคะแต่ละแบบในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต แล้วแต่ว่าช่วงนั้นเรารู้สึกยังไง และอะไรคือเหมาะกับเรา ณ เวลานั้นมากที่สุด เหมือนเมื่อก่อนเรารักโยคะฟื้นฟูมากกก แบบมากๆ แต่ตอนนี้ เราไม่ฝึกโยคะฟื้นฟู ไปเข้าคลาสก็คือเบื่อมาก 555 รู้สึกไม่ได้ตอบโจทย์อะไรกับตอนนี้เลย และเมื่อก่อนเราไม่อชบหยินโยคะ กับ แอชทังก้ามากๆๆๆๆๆๆๆๆ อันนึงก็ค้างท่าโคตรนาน อีกอันก็ถึกไปไหน เหนื่อย สุดท้ายตอนนี้ หยินกับแอชทังก้า คือโยคะ 2 อย่าง ที่เราฝึกอยู่ 55555

ถ้ามีผิดพลาด ทักมาได้เลยนะคะ เราก็ไม่ได้โปรขนาดนั้น แชร์จากที่เคยฝึก กับเคยฟังมา

Advertisement

Comments are closed.

Create a website or blog at WordPress.com

Up ↑

%d bloggers like this: